คดีกัดลิ้นสู้ข่มขืน เกาหลีใต้ โซล, เกาหลีใต้ – ในห้องพิจารณาคดีที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตันและหยดน้ำตาแห่งการรอคอย ศาลฎีกากรุงโซลได้มีคำพิพากษาครั้งประวัติศาสตร์ในวันนี้ (9 กันยายน 2568) ให้ยกฟ้องและล้างมลทินแก่ คุณยาย ชเว มัลจา (Choi Mal-ja) วัย 79 ปี ใน คดีกัดลิ้นสู้ข่มขืน เกาหลีใต้ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 61 ปีก่อน ซึ่งเธอถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานทำร้ายร่างกายสาหัสจากการป้องกันตัวจากชายที่พยายามข่มขืนเธอ คำตัดสินนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปิดฉากฝันร้ายที่ยาวนานกว่า 6 ทศวรรษของสตรีคนหนึ่ง แต่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนการเดินทางอันยาวนานของ สิทธิสตรีในเกาหลีใต้ และเป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่ที่กล้าหาญพอที่จะแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นภายใต้อคติทางเพศใน ยุคเผด็จการทหาร
คดีกัดลิ้นสู้ข่มขืน เกาหลีใต้ คำพิพากษาที่โลกจารึก วินาทีล้างมลทินของ ชเว มัลจา
บรรยากาศภายในศาลฎีกากรุงโซลเงียบกริบ เมื่อผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินให้คุณยาย ชเว มัลจา ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นในวัย 79 ปี เป็นผู้บริสุทธิ์ในทุกข้อกล่าวหา เสียงสะอื้นไห้ด้วยความยินดีดังขึ้นจากครอบครัวและกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ร่วมต่อสู้เคียงข้างเธอมานานหลายปี
“การกระทำของจำเลยในขณะนั้น คือการป้องกันตัวจากความรุนแรงทางเพศที่มิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับสามัญสำนึกของสังคม และถือเป็นการป้องกันตัวโดยชอบธรรม” ผู้พิพากษากล่าว พร้อมทั้งเสริมประโยคที่ทำให้หลายคนในห้องพิจารณาคดีต้องหลั่งน้ำตา “ในนามของอำนาจตุลาการ ข้าพเจ้าขออภัยอย่างสุดซึ้งต่อความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจที่จำเลยต้องทนทุกข์มาเป็นเวลายาวนาน เนื่องจากคำตัดสินที่ผิดพลาดในอดีตของศาล”
หลังสิ้นสุดคำพิพากษา คุณยายชเว ซึ่งอยู่ในอาการตื้นตัน ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ฉันสู้มาตลอดชีวิตเพื่อบอกทุกคนว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันแค่ปกป้องตัวเอง วันนี้… ในที่สุด… ก็มีคนรับฟังฉัน ขอบคุณ… ขอบคุณที่คืนชีวิตให้กับฉัน”
คำตัดสินครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดการต่อสู้ที่เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2507 ซึ่งในขณะนั้น ชเว มัลจา เป็นเพียงเด็กสาววัย 18 ปีที่ถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรเพียงเพราะเธอหาญกล้าที่จะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของตนเอง
ย้อนรอยอดีตปี 1964 สังคมปิตาธิปไตยที่ตัดสินเหยื่อ
เพื่อที่จะเข้าใจความสำคัญของคำตัดสินในวันนี้อย่างถ่องแท้ เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปยังบริบทของสังคมเกาหลีใต้ในปี 1964 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหารของนายพลปัก จุง-ฮี สังคมในยุคนั้นถูกครอบงำด้วยแนวคิดปิตาธิปไตยอย่างเข้มข้น ซึ่งสิทธิและเสียงของผู้หญิงแทบจะไม่มีที่ยืนในพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการยุติธรรม
ในคืนเกิดเหตุ ชเว มัลจา ซึ่งทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านของครอบครัวหนึ่ง ถูกชายแซ่โน (Noh) ซึ่งเป็นญาติของเจ้าของบ้าน พยายามใช้กำลังข่มขืน ในระหว่างการต่อสู้ขัดขืนอย่างสุดชีวิต เธอได้กัดลิ้นของเขาจนขาดบางส่วนเพื่อเอาตัวรอด
ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นศาลกลับเป็นเรื่องน่าเศร้า
- การพิจารณาคดีที่ลำเอียง แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การพยายามข่มขืนของฝ่ายชาย กระบวนการพิจารณากลับเพ่งเล็งไปที่การกระทำ “อันรุนแรงเกินกว่าเหตุ” ของชเว
- อคติทางเพศในคำตัดสิน ผู้พิพากษาในขณะนั้นมองว่า การที่ผู้หญิงสร้างบาดแผลสาหัสให้กับผู้ชาย แม้จะเป็นการป้องกันตัว ถือเป็นการกระทำที่ “ทำลายพรหมจรรย์และความเป็นกุลสตรี”
- บทลงโทษที่ไม่เป็นธรรม ชเว มัลจา ถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน รอลงอาญา 1 ปี ในข้อหาทำร้ายร่างกายสาหัส ขณะที่ชายผู้พยายามข่มขืนเธอ กลับได้รับโทษที่เบากว่าในข้อหาพยายามข่มขืน
คำตัดสินดังกล่าวได้สร้างตราบาปให้กับชีวิตของเธอ ทำให้เธอต้องอยู่อย่างหลบซ่อน ถูกสังคมประณาม และไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขตลอด 61 ปีที่ผ่านมา
พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง จากเสียงกระซิบสู่ #MeToo ที่สั่นสะเทือนบัลลังก์ยุติธรรม
กฎหมายสิทธิสตรีในเกาหลีใต้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? การเดินทางจากปี 1964 ถึง 2025 คือภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคมเกาหลีใต้ จากประเทศที่เคยกดขี่ผู้หญิงภายใต้ระบอบเผด็จการ สู่การเป็นประชาธิปไตยที่ตื่นตัวเรื่องความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้น
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญคือ
- การเคลื่อนไหว #MeToo กระแส #MeToo ที่เริ่มจากโลกตะวันตกได้จุดประกายการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในเกาหลีใต้ในปี 2018 ผู้หญิงจากหลากหลายวงการ ตั้งแต่นักการเมือง นักแสดง ไปจนถึงพนักงานออฟฟิศ ต่างกล้าออกมาเปิดโปงเรื่องราวการล่วงละเมิดทางเพศที่พวกเธอเคยเผชิญ
- การปฏิรูปกฎหมาย แรงกดดันจากสังคมทำให้เกิดการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทางเพศหลายฉบับ รวมถึงการตีความ “การยินยอม” ที่ชัดเจนขึ้น และการเพิ่มบทลงโทษผู้กระทำผิด
- การเปลี่ยนทัศนคติของตุลาการ คณะผู้พิพากษารุ่นใหม่เริ่มมีมุมมองที่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากลมากขึ้น และกล้าที่จะทบทวนคำตัดสินในอดีตที่เต็มไปด้วยอคติ
คดีของคุณยายชเวได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่ในปี 2022 หลังจากทีมทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและองค์กรสตรีได้ยื่นคำร้อง โดยอ้างถึงหลักฐานและมุมมองทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งศาลได้ยอมรับคำร้องและนำไปสู่การไต่สวนใหม่อย่างเต็มรูปแบบ จนกระทั่งมีคำพิพากษาประวัติศาสตร์ในวันนี้
มากกว่าคดีส่วนบุคคล สัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อ ‘การป้องกันตัวโดยชอบธรรม’
ชัยชนะของคุณยาย ชเว มัลจา มีความหมายมากกว่าการคืนความยุติธรรมให้กับคนเพียงคนเดียว แต่มันได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ที่สำคัญให้กับ กระบวนการยุติธรรมเกาหลีใต้
“คำตัดสินนี้ได้ส่งสารที่ชัดเจนไปยังสังคมและระบบกฎหมายว่า การป้องกันตัวของเหยื่อจากการล่วงละเมิดทางเพศคือสิทธิอันชอบธรรม ไม่ใช่อาชญากรรม” อี ซู-จอง ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยานิติเวชและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีกล่าว “มันเป็นการยืนยันว่าร่างกายของเหยื่อเป็นของพวกเขา และพวกเขามีสิทธิ์ทุกประการที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องมัน”
คดีนี้ยังจุดประกายให้เกิดการถกเถียงในวงกว้างเกี่ยวกับคดีอื่นๆ ในอดีตที่อาจมีการตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมภายใต้อคติทางเพศ และอาจนำไปสู่การรื้อฟื้นคดีลักษณะเดียวกันนี้อีกในอนาคต
บทสรุป เรื่องราวของหญิงที่สู้คดีข่มขืน 61 ปี ได้ปิดฉากลงด้วยชัยชนะอันงดงาม เรื่องราวของ ชเว มัลจา คือมหากาพย์แห่งความทรหดอดทน ความกล้าหาญ และความศรัทธาในความยุติธรรมที่ไม่เคยจางหายไป แม้จะต้องรอคอยนานกว่าครึ่งศตวรรษ ชัยชนะของเธอในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงการลบบาดแผลในอดีตของเธอเท่านั้น แต่ยังเป็นการเยียวยาบาดแผลของสังคมเกาหลีใต้ และเป็นแสงสว่างแห่งความหวังให้กับเหยื่อความรุนแรงทางเพศทั่วโลก ว่าความยุติธรรมอาจมาล่าช้า แต่ก็ยังมาถึงได้ในที่สุด
แหล่งที่มาจาก : am2con