(วันที่ 31 ตุลาคม 2025, ไมอามี/คิงส์ตัน/ปอร์โตแปรงซ์) – ภูมิภาคแคริบเบียนกำลังตกอยู่ภายใต้วิกฤตมนุษยธรรมครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบทศวรรษ หลังจาก เฮอริเคน เมลิสซา (Hurricane Melissa) ซึ่งทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็น “พายุอสูร” ระดับ Category 3 ได้เคลื่อนตัวผ่านภูมิภาคในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา สร้างเส้นทางแห่งความพินาศ (Path of Destruction) พาดผ่าน 3 ประเทศอย่างโหดเหี้ยม
ยอดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการในขณะนี้ พุ่งสูงอย่างน้อย 30 ศพ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก โดย แคริบเบียนอ่วม หนักที่สุดใน จาเมกา, เฮติ และ คิวบา
“เมลิสซา” ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางกายภาพด้วยความเร็วลม 120 ไมล์ต่อชั่วโมง (195 กม./ชม.) และ “ระเบิดฝน” ที่ถล่มทลาย แต่ยังทำหน้าที่เป็น “ตัวคูณแห่งความเปราะบาง” (Vulnerability Multiplier) ที่กระชากให้เห็นความจริงอันเจ็บปวดของ 3 ชาติ ที่มีความพร้อมรับมือแตกต่างกัน แต่กลับลงเอยด้วยโศกนาฏกรรมเช่นเดียวกัน
ณ เวลา 1300 น. วันศุกร์ (ตามเวลาประเทศไทย) ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติ (NHC) ในไมอามี รายงานว่า “เมลิสซา” ได้เคลื่อนตัวผ่านคิวบาออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติกแล้ว ทิ้งไว้เบื้องหลังคือภาพความเสียหายราวกับวันสิ้นโลก, ประชาชนหลายล้านคนไร้ไฟฟ้าใช้, และเสียงร้องขอ ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม อย่างเร่งด่วนจากทั้งสามประเทศ

เส้นทางมรณะ 72 ชั่วโมง จาก “ระเบิดฝน” สู่ “อสูร Cat 3”
โศกนาฏกรรมครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 3 วันก่อน เมื่อพายุโซนร้อน “เมลิสซา” ก่อตัวขึ้นในทะเลแคริบเบียนตอนกลาง สิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่ ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติ (NHC) ตกตะลึง คือปรากฏการณ์ “การทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว” (Rapid Intensification)
“เมลิสซา” เปลี่ยนจากพายุโซนร้อน (Tropical Storm) กลายเป็นเฮอริเคนระดับ 3 (Major Hurricane) ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่อุ่นจัด อันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน
เส้นทางเฮอริเคน เมลิสซา ได้เดินตาม “สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด” (Worst-case scenario) ที่นักอุตุนิยมวิทยาหวาดกลัว คือการพัดผ่านเกาะใหญ่ 3 เกาะติดต่อกัน
- จุดเริ่มต้น (Landfall 1) จาเมกา (ค่ำวันพุธ, 29 ต.ค.)
- พัดขึ้นฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะพายุ Category 2
- สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดให้กับเมืองหลวง “คิงส์ตัน” และเขตเซนต์โทมัส
 
- จุดทวีความรุนแรง (Landfall 2) เฮติ (เช้าวันพฤหัสบดี, 30 ต.ค.)
- ข้ามน้ำทะเลอุ่นระหว่างเกาะ และทวีกำลังเป็น Category 3
- พุ่งเป้าโจมตีคาบสมุทรภาคใต้ (Southern Peninsula) ซึ่งเป็นพื้นที่เปราะบางที่สุดของประเทศ
 
- จุดสุดท้าย (Landfall 3) คิวบา (คืนวันพฤหัสบดี – เช้าวันศุกร์, 30-31 ต.ค.)
- อ่อนกำลังลงเล็กน้อย แต่ยังคงเป็น Cat 2 ที่อันตราย
- พัดถล่มจังหวัดทางตะวันออก (Santiago de Cuba และ Guantánamo)
 
การโจมตีแบบ “ไตรภาคี” นี้ ทำให้การประสานงานกู้ภัยระดับภูมิภาคเป็นไปอย่างยากลำบากอย่างยิ่ง เพราะทุกประเทศต่างก็กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดในเวลาเดียวกัน
จาเมกา (18 ศพ) “อัมพาต” ทั้งเกาะ และการล่มสลายของโครงสร้างพื้นฐาน
จาเมกาคือประเทศแรกที่เผชิญหน้ากับความพิโรธของ “เมลิสซา” และเป็นประเทศที่มียอดผู้เสียชีวิตสูงที่สุดในขณะนี้ถึง 18 ศพ
จากรายงานเบื้องต้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ระบุว่าพายุทำ ไฟดับ 1 ใน 3 ของประเทศ บัดนี้ สถานการณ์ได้เลวร้ายลงสู่ขั้น “อัมพาต”
- การล่มสลายของระบบไฟฟ้า บริษัทบริการสาธารณะจาเมกา (JPS) ยืนยันว่า ประชาชนกว่า 80% ทั่วประเทศ หรือเกือบ 2 ล้านคน ไม่มีไฟฟ้าใช้ โครงข่ายไฟฟ้าเสียหายหนักจนอาจต้องใช้เวลา “หลายสัปดาห์” ในการกู้คืน
- ดินถล่มมรณะ ยอดผู้เสียชีวิต 18 ราย ส่วนใหญ่มาจากเหตุดินถล่มในเขตเซนต์แอนดรูว์ และเซนต์โทมัส บริเวณเทือกเขาบลูเมาน์เทน (Blue Mountains) ซึ่งเป็นแหล่งปลูกกาแฟล้ำค่า “ระเบิดฝน” ที่วัดได้กว่า 600 มม. (24 นิ้ว) ในบางพื้นที่ ทำให้ดินอุ้มน้ำไม่ไหวและถล่มลงมาทับบ้านเรือนในยามค่ำคืน
- เมืองหลวงจมน้ำ กรุงคิงส์ตันเผชิญน้ำท่วมฉับพลันในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ถนนหลายสายกลายเป็นคลอง, โรงพยาบาลหลัก (KPH) ต้องอพยพผู้ป่วยบางส่วน, และสนามบินนานาชาตินอร์แมน แมนลีย์ ต้องปิดให้บริการชั่วคราว
นายกรัฐมนตรี แอนดรูว์ โฮลเนสส์ กล่าวในแถลงการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศเมื่อเช้านี้ว่า “นี่คือภัยพิบัติระดับชาติ… ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนน, สะพาน และระบบไฟฟ้า ได้ย้อนเวลารัฐของเราไปนับสิบปี เรากำลังร้องขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วน”
ความเสียหายเฮอริเคน เมลิสซา ในจาเมกา ได้ทำลายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของประเทศในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ก่อนจะเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว (High Season) ในเดือนธันวาคม
เฮติ (7+ ศพ) “วิกฤตซ้อนวิกฤต” และฝันร้ายที่คาบสมุทรภาคใต้
หลังจากขยี้จาเมกา “เมลิสซา” ได้ทวีกำลังเป็น Category 3 และมุ่งหน้าสู่จุดที่เปราะบางที่สุดในซีกโลกตะวันตก คาบสมุทรภาคใต้ของเฮติ
นี่คือพื้นที่เดิมที่เพิ่งถูกทำลายล้างโดยแผ่นดินไหวปี 2021 และเฮอริเคน “แมทธิว” ในปี 2016 “เมลิสซา” จึงเป็น “วิกฤตซ้อนวิกฤต” (Crisis on top of a crisis) ที่แท้จริง
ยอดผู้เสียชีวิตที่ยืนยันเบื้องต้นอยู่ที่ 7 ศพ แต่ องค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์กรสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ เกรงว่าตัวเลขที่แท้จริงจะ “สูงกว่านี้หลายเท่า” เนื่องจากพื้นที่ประสบภัยถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง
- “เมืองผี” ใต้น้ำ เมืองเลกาเย (Les Cayes) และ เฌเรมี (Jérémie) ซึ่งเป็นเมืองหลักในภูมิภาค ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ ถนนสายหลักที่เชื่อมต่อไปยังเมืองหลวงปอร์โตแปรงซ์ ถูกทำลายจากน้ำท่วมและดินถล่ม
- คลื่นพายุซัดฝั่ง (Storm Surge) NHC รายงานว่า “เมลิสซา” ได้ผลักดันคลื่นพายุซัดฝั่งสูง 10-15 ฟุต (3-4.5 เมตร) เข้าสู่ชายฝั่งภาคใต้ กวาดล้างหมู่บ้านชาวประมงจนราบเป็นหน้ากลอง
- ภาวะสุญญากาศด้านมนุษยธรรม หายนะครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะสุญญากาศทางการเมืองและความรุนแรงของแก๊งอาชญากรรมที่ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
 “สถานการณ์ในเฮติเข้าขั้นหายนะ” ผู้อำนวยการภาคสนามของ สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (UN OCHA) กล่าวจากปอร์โตแปรงซ์ “เราไม่สามารถติดต่อทีมงานของเราในเลกาเยได้เลย… การส่งความช่วยเหลือแทบจะเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้ เพราะแก๊งอาชญากรรมยังคงควบคุมท่าเรือและถนนสายหลัก เรากำลังเผชิญหน้ากับการระบาดของอหิวาตกโรคที่อาจตามมา”
สำหรับเฮติ นี่ไม่ใช่แค่ พายุถล่มแคริบเบียน แต่คือการ “ซ้ำเติม” บาดแผลเก่าที่ยังไม่ทันหายดี

คิวบา (5 ศพ) อพยพแสนคน แต่ยังต้านไม่อยู่ ภาคตะวันออกอ่วม
ประเทศที่สามในเส้นทางมรณะคือ คิวบา “เมลิสซา” อ่อนกำลังลงเล็กน้อยเป็น Category 2 แต่ยังคงอันตรายอย่างยิ่งเมื่อพัดขึ้นฝั่งที่จังหวัดซานติอาโก เดอ คิวบา และ กวนตานาโม ทางภาคตะวันออกของเกาะ
คิวบามีชื่อเสียงระดับโลกในเรื่องระบบป้องกันพลเรือน (Defensa Civil) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งในครั้งนี้
- การอพยพครั้งใหญ่ สื่อของรัฐคิวบา (Granma) รายงานว่า รัฐบาลได้สั่งอพยพประชาชนมากกว่า 200,000 คน ออกจากพื้นที่ลุ่มต่ำและอาคารที่ไม่แข็งแรงไปยังศูนย์พักพิงของรัฐ
- การสูญเสียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะมีการเตรียมพร้อมที่ดีเยี่ยม แต่ความรุนแรงของพายุก็ยังคร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 5 ศพ ส่วนใหญ่เกิดจากอาคารเก่าพังถล่ม
- ความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ภาคตะวันออกของคิวบาเป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ โดยเฉพาะ “อ้อย” และ “กาแฟ” รายงานเบื้องต้นระบุว่าไร่เกษตรกรรมจมอยู่ใต้น้ำ สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้วของคิวบา
ในขณะที่การสูญเสียชีวิตในคิวบาน้อยกว่าอีกสองประเทศอย่างเห็นได้ชัด (เนื่องจากระบบอพยพที่มีประสิทธิภาพ) แต่ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจก็ยังคงรุนแรงอย่างยิ่ง
ประชาคมโลกเร่งมือ ปฏิบัติการ “ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม” ที่แข่งกับเวลา
ณ บัดนี้ สถานการณ์แคริบเบียนล่าสุด ได้เปลี่ยนจาก “การเตือนภัย” เป็น “การกู้ภัย” เต็มรูปแบบ
- สหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศอนุมัติความช่วยเหลือฉุกเฉิน โดย USAID (องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ) กำลังส่งทีม DART (ทีมตอบสนองต่อภัยพิบัติ) ไปยังจาเมกาและเฮติ
- สหประชาชาติ (UN) ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฉุกเฉินส่วนกลาง (CERF) เพื่อช่วยเหลือเฮติในทันที และกำลังประเมินความต้องการในจาเมกา
- กาชาดสากล (ICRC) สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (IFRC) กำลังระดมทุนฉุกเฉิน 20 ล้านฟรังก์สวิส เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกว่า 100,000 คนในทั้งสามประเทศ
- ความท้าทายในการเข้าถึง การกู้ภัยกำลังเผชิญอุปสรรคสำคัญ สนามบินในคิงส์ตัน (จาเมกา) และเลกาเย (เฮติ) ยังคงใช้งานไม่ได้หรือเสียหายหนัก ทำให้การลำเลียงสิ่งของต้องอาศัยเฮลิคอปเตอร์หรือเรือเป็นหลัก ซึ่งล่าช้าและไม่เพียงพอ
บทเรียนจาก “เมลิสซา” ภาวะโลกร้อน และ “ราคา” ที่แคริบเบียนต้องจ่าย
เฮอริเคน เมลิสซา คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของ “ยุคสมัยแห่งความสุดขั้ว” (Age of Extremes) ที่ขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การที่พายุสามารถ “ทวีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว” (Rapid Intensification) ได้เช่นนี้ เกิดจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในแคริบเบียนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ 1-2 องศาเซลเซียส มันคือ “เชื้อเพลิงชั้นดี” ที่อัดฉีดพลังงานให้พายุ
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ตอกย้ำความจริงที่ว่า “รัฐเกาะขนาดเล็ก” (Small Island Developing States – SIDS) ในแคริบเบียน คือผู้ที่อยู่ “แนวหน้า” ของวิกฤตโลกร้อน พวกเขาปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด แต่กลับเป็นผู้ที่ต้อง “จ่ายราคา” แพงที่สุด ทั้งด้วยชีวิตและเศรษฐกิจ
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะตามมานั้นมหาศาล
- การท่องเที่ยว (จาเมกา) อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็นกว่า 30% ของ GDP อาจต้อง “ปิดตัว” ชั่วคราวไปหลายเดือนเพื่อฟื้นฟู
- เกษตรกรรม (เฮติ/คิวบา) การสูญเสียพืชผลในเฮติจะนำไปสู่ภาวะอดอยากที่เลวร้ายยิ่งขึ้น ในขณะที่คิวบาจะสูญเสียรายได้หลักจากการส่งออก
บทสรุป หลังพายุผ่านพ้น และการฟื้นฟูบนซากปรักหักพัง
เฮอริเคน เมลิสซา ได้เคลื่อนตัวผ่านไปแล้ว แต่ “หายนะ” ที่แท้จริงเพิ่งเริ่มต้น 72 ชั่วโมงแห่งความบ้าคลั่งของพายุ ได้ทิ้งบาดแผลที่จะต้องใช้เวลา “นับทศวรรษ” ในการฟื้นฟู
จาเมกาต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กับโครงสร้างพื้นฐานที่พังทลาย คิวบาต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่บอบช้ำ และเฮติ… กำลังจมดิ่งสู่ก้นบึ้งของวิกฤตมนุษยธรรมที่ไม่มีใครมองเห็นจุดสิ้นสุด
ยอดผู้เสียชีวิต 30 ศพ คือตัวเลขเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมที่ซับซ้อน ซึ่งเผยให้เห็นความเชื่อมโยงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ระหว่าง ภัยธรรมชาติ, ความยากจน, ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลก
แหล่งที่มาจาก : am2con
 
		 
		 
		