(วันที่ 31 ตุลาคม 2025, กาซา ซิตี้/เทลอาวีฟ/วอชิงตัน) – ควันไฟแห่งสงครามและความตายได้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือฉนวนกาซาอีกครั้งในเช้าวันนี้ (31 ต.ค.) หลังจาก อิสราเอลถล่มกาซา ระลอกใหม่ที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสัปดาห์ โดยพุ่งเป้าไปที่ “ค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย” (Jabalia refugee camp) ที่แออัดยัดเยียดทางตอนเหนือ ส่งผลให้เกิดภาพ “การสังหารหมู่” ที่น่าสะพรึงกลัว
กระทรวงสาธารณสุขในกาซา (ดำเนินการโดยฮามาส) รายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตเบื้องต้นที่น่าตกใจว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 50 ศพ และบาดเจ็บอีกนับร้อยราย โดยในจำนวนผู้เสียชีวิตนั้น เป็น เด็กกาซาเสียชีวิต ถึง 22 คน
การโจมตีครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จุดชนวนความโกรธแค้นไปทั่วโลกอาหรับ แต่ยังสร้างแรงกดดันมหาศาลทางภูมิรัฐศาสตร์ บีบให้ สหรัฐอเมริกา พันธมิตรหลักของอิสราเอล ต้องเผชิญหน้ากับ “เส้นตาย” ทางมนุษยธรรมที่ยากลำบากที่สุด
ในขณะที่กองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอล (IDF) ยืนยันว่าปฏิบัติการนี้มีความจำเป็นทางทหาร โดยมุ่งเป้าไปที่ “ผู้บัญชาการระดับสูงของฮามาส” แต่ภาพของร่างเด็ก 22 คนที่ถูกดึงออกมาจากซากปรักหักพัง ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของคำถามที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือ “สัดส่วน” (Proportionality) ของการใช้กำลัง และ “ราคา” ของสงครามครั้งนี้ ที่พลเรือนกำลังเป็นผู้จ่ายอย่างไม่สมส่วน

“นรกบนดิน” เสียงกรีดร้องจากจาบาเลีย
ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้ามืด โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าในพื้นที่เป้าหมาย พยานผู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นชาวบ้านในค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดค่ายผู้ลี้ภัยดั้งเดิมในกาซาและมีความหนาแน่นของประชากรสูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง อธิบายว่ามันคือ “วันสิ้นโลก”
“ระเบิดลูกแรกถล่มตึกทั้งหลังที่อยู่ตรงข้ามผม” นายอาเหม็ด อัล-บาสซูนี (Ahmed al-Bassouni) พลเมืองที่รอดชีวิต ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว AP ขณะยืนอยู่บนกองซากคอนกรีต “มันเหมือนแผ่นดินไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า… เราวิ่งออกมา และสิ่งที่เห็นคือหลุมขนาดใหญ่ที่บ้านเพื่อนบ้านเคยตั้งอยู่ ผมได้ยินเสียงคนกรีดร้องอยู่ใต้ซากปรักหักพัง”
ทีมป้องกันพลเรือนปาเลสไตน์และอาสาสมัครกู้ภัย กำลังทำงานแข่งกับเวลา โดยใช้เพียงมือเปล่าและเครื่องมือง่ายๆ ในการขุดค้นหาผู้รอดชีวิต
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลคามาล อัดวาน (Kamal Adwan Hospital) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักในพื้นที่ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ห้องฉุกเฉินได้รับร่างผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเข้ามาไม่หยุดหย่อน
“เราได้รับร่างผู้เสียชีวิต 50 รายแล้ว และกำลังรักษาผู้บาดเจ็บอีกกว่า 150 คน… ครึ่งหนึ่งของผู้ที่มาถึงคือเด็ก สภาพของพวกเขา… หลายคนร่างแหลกสลาย… นี่ไม่ใช่สงคราม นี่คือการสังหารหมู่”
ภาพที่ถูกเผยแพร่โดยนักข่าวท้องถิ่น แสดงให้เห็นร่างของเด็กๆ ที่ถูกห่อด้วยผ้าขาว วางเรียงกันบนพื้นโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยเลือด ตอกย้ำรายงานของกระทรวงสาธารณสุขที่ว่า มี เด็กกาซาเสียชีวิต ถึง 22 คน ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้
“เป้าหมายมูลค่าสูง” ปะทะ “อาชญากรรมสงคราม” วาทกรรมที่แตกต่าง
เช่นเดียวกับทุกครั้งที่เกิดการสูญเสียพลเรือนจำนวนมาก มุมมองต่อเหตุการณ์ได้แตกออกเป็นสองขั้วทันที
คำอธิบายของ IDF “ปฏิบัติการเด็ดหัวผู้ก่อการร้าย”
พลเรือตรี แดเนียล ฮาการี โฆษก กองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอล (IDF) ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันการโจมตีในจาบาเลียอย่างรวดเร็ว โดยระบุว่านี่คือปฏิบัติการที่ซับซ้อนและแม่นยำ
“การโจมตีของเราในจาบาเลีย มุ่งเป้าไปที่ อิบราฮิม บิยารี (Ibrahim Biyari)” โฆษก IDF กล่าว “บิยารี คือผู้บัญชาการกองพันจาบาเลียกลางของฮามาส และเป็นหนึ่งในผู้บงการหลักที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม”
IDF อ้างว่า บิยารี และนักรบฮามาสอีกหลายสิบคน กำลังประชุมกันอยู่ใน “เครือข่ายอุโมงค์ใต้ดิน” (Underground tunnel complex) ที่อยู่ลึกใต้ค่ายผู้ลี้ภัย การโจมตีจึงมีความจำเป็นต้องใช้ระเบิดขนาดใหญ่ (คาดว่าเป็นระเบิด GBU-31 ขนาด 2,000 ปอนด์) เพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานใต้ดินนั้น ซึ่งส่งผลให้อาคารโดยรอบที่ “ฮามาสใช้เป็นโล่มนุษย์” พังถล่มลงมา
“โศกนาฏกรรมใดๆ ที่เกิดกับพลเรือน ถือเป็นความรับผิดชอบของฮามาส ที่จงใจฝังตัวเองอยู่ใต้ประชากรพลเรือน” IDF สรุป “เราจะยังคงปฏิบัติการเพื่อกำจัดฮามาสต่อไป”

เสียงจากปาเลสไตน์ “ข้ออ้างในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
สำหรับฝ่ายปาเลสไตน์และกลุ่มสิทธิมนุษยชน คำอธิบายของ IDF คือ “ข้ออ้าง” ที่ฟังไม่ขึ้นสำหรับการโจมตีโดยไม่เลือกหน้า
กลุ่ม ฮามาส ออกแถลงการณ์ประณามเหตุการณ์นี้ว่าเป็น “อาชญากรรมสงครามที่ป่าเถื่อน” และ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหม่ต่อหน้าชาวโลก”
นายมาห์มูด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ (ซึ่งบริหารเขตเวสต์แบงก์) เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การสังหารหมู่ที่น่ารังเกียจ” และเรียกร้องให้มีการแทรกแซงจากนานาชาติทันที
ประเด็นสำคัญที่นักกฎหมายระหว่างประเทศและองค์กรสิทธิมนุษยชนยกขึ้นมา คือ “หลักการแห่งสัดส่วน” (Principle of Proportionality) ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL)
“คำถามไม่ใช่ว่ามีเป้าหมายทางทหารที่ชอบด้วยกฎหมาย (บิยารี) อยู่ที่นั่นหรือไม่” นางซารี บาชิ ผู้อำนวยการโครงการของ Human Rights Watch กล่าว “คำถามคือ การสังหารพลเรือน 50 คน ซึ่งรวมถึงเด็ก 22 คน เพื่อแลกกับการสังหารผู้บัญชาการหนึ่งคน มัน ‘ได้สัดส่วน’ หรือไม่? คำตอบที่ชัดเจนคือ ‘ไม่’ การโจมตีครั้งนี้มีลักษณะเป็นการโจมตีโดยไม่เลือกหน้า (Indiscriminate) และอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม”
วิกฤตมนุษยธรรม เมื่อ “กาซาคือสุสานของเด็ก”
สถานการณ์กาซาล่าสุดวันนี้ ได้ตอกย้ำคำกล่าวที่เจ็บปวดของ สหประชาชาติ (UN) ที่ว่า “กาซากลายเป็นสุสานของเด็กไปแล้ว”
การเสียชีวิตของเด็ก 22 คนในจาบาเลียเพียงชั่วข้ามคืน ได้เพิ่มยอดรวมของเด็กที่เสียชีวิตในฉนวนกาซานับตั้งแต่สงครามปะทุขึ้น (ซึ่งคาดว่ามีมากกว่า 15,000 คน) ให้สูงขึ้นไปอีก
องค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีครั้งนี้อย่างรุนแรงที่สุด
“ภาพที่ออกมาจากจาบาเลียนั้นน่าสยดสยอง… เด็ก 22 คนถูกฆ่าขณะที่พวกเขากำลังนอนหลับ หรือกำลังเล่นอยู่ในพื้นที่ที่ควรจะเป็น ‘ค่ายผู้ลี้ภัย’… ไม่ควรมีเด็กคนใดต้องตกเป็นเป้าหมาย… การโจมตีพื้นที่พลเรือนที่หนาแน่นเช่นนี้ต้องยุติลงทันที”
วิกฤตมนุษยธรรมในกาซาได้มาถึงจุด “ล่มสลายโดยสมบูรณ์” แล้ว
- โรงพยาบาล โรงพยาบาลคามาล อัดวาน และโรงพยาบาลอินโดนีเซียน ที่อยู่ใกล้เคียง กำลังทำงานเกินขีดจำกัดไปมาก เชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟกำลังจะหมดลงในไม่ช้า
- น้ำและอาหาร การเข้าถึงน้ำสะอาดและอาหารแทบจะเป็นไปไม่ได้ ประชาชนในจาบาเลียและภาคเหนือของกาซาต้องเผชิญกับภาวะอดอยากรุนแรง
- เขตปลอดภัยที่ไม่มีจริง อิสราเอลได้สั่งให้อพยพไปยังภาคใต้ แต่การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นใน “ภาคเหนือ” ที่ยังมีพลเรือนหลายแสนคนติดค้างอยู่ และไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะอพยพ มันตอกย้ำว่า “ไม่มีที่ไหนในกาซาที่ปลอดภัย”

“เส้นตาย” ทางภูมิรัฐศาสตร์ สหรัฐฯ ถูกบีบเข้ามุม
อิสราเอลถล่มกาซา ครั้งนี้ ไม่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนแค่ในตะวันออกกลาง แต่ยังสะเทือนไปถึงทำเนียบขาวในวอชิงตัน ดี.ซี.
รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักด้านอาวุธและการทูตแก่ อิสราเอล กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่หนักหน่วงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มสงคราม
- แรงกดดันจากนานาชาติ เลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส กล่าวว่าเขารู้สึก “ตกตะลึง” (Appalled) ต่อการโจมตีครั้งนี้ หลายประเทศในยุโรป (เช่น ฝรั่งเศส, สเปน, ไอร์แลนด์) ที่เคยสนับสนุนอิสราเอลในตอนแรก เริ่มออกมาเรียกร้องให้ “หยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมทันที” (Immediate Humanitarian Ceasefire)
- แรงกดดันจากโลกอาหรับ พันธมิตรอาหรับของสหรัฐฯ (เช่น อียิปต์, จอร์แดน, ซาอุดีอาระเบีย) ประณามการโจมตีครั้งนี้อย่างรุนแรง การเจรจาเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ (Normalization) ระหว่างซาอุฯ-อิสราเอล ไม่เพียงแต่หยุดชะงัก แต่ยังถอยหลังไปหลายปี
- แรงกดดันภายในประเทศ นี่คือจุดที่อันตรายที่สุดสำหรับรัฐบาลสหรัฐฯ ภาพของเด็ก 22 ศพ กำลังเติมเชื้อไฟให้กับกลุ่มก้าวหน้า (Progressive wing) ภายในพรรคเดโมแครตเอง รวมถึงกลุ่มผู้ประท้วงในมหาวิทยาลัยและเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐฯ ที่เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการสนับสนุนทางการเงินและอาวุธแก่อิสราเอล
คำแถลงการณ์ที่ “อึดอัด” จากวอชิงตัน โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติ จอห์น เคอร์บี (John Kirby) ถูกสื่อมวลชนซักฟอกอย่างหนักในห้องแถลงข่าว
“เราได้เห็นรายงานและภาพที่น่าสลดใจจากจาบาเลียแล้ว… เราเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์… เรายังคงย้ำกับพันธมิตรอิสราเอลของเราว่า พวกเขามีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และต้องดำเนินการทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อลดอันตรายต่อพลเรือน”
อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกถามว่า “สหรัฐฯ จะประณามการโจมตีครั้งนี้หรือไม่” หรือ “จะมีการระงับการส่งอาวุธหรือไม่” โฆษกทำเนียบขาวยังคงหลีกเลี่ยงที่จะตอบตรงๆ โดยย้ำว่า “ฮามาสคือผู้เริ่มสงครามนี้”
นักวิเคราะห์มองว่า สหรัฐฯ กำลังเดินบนเส้นด้ายที่บางเฉียบ “การสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไข” (Blanket support) ต่ออิสราเอลกำลังถูกทดสอบอย่างหนัก และหากมีการ “สังหารหมู่” ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก สหรัฐฯ อาจถูกบีบให้ต้องเปลี่ยนท่าที จาก “ผู้สนับสนุน” มาเป็น “ผู้ห้ามปราม” อย่างจริงจัง
ผลกระทบต่อไทยและอาเซียน เปลวไฟที่ลามทุ่ง
สถานการณ์กาซาล่าสุดวันนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพโลก ซึ่งรวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทย
- ความแตกแยกในอาเซียน วิกฤตนี้ได้ตอกย้ำความแตกแยกทางความคิดในอาเซียน ประเทศที่มีประชากรมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ เช่น มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ยืนหยัดประณามอิสราเอลอย่างรุนแรง ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ และ ฟิลิปปินส์ มีท่าทีที่เป็นกลางกว่า โดยเน้นประณามทั้งสองฝ่าย
- ท่าทีของไทย รัฐบาลไทยตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ต้องรักษาสมดุลระหว่างความสัมพันธ์ดั้งเดิมกับกลุ่มประเทศอาหรับ และความจำเป็นในการเจรจาช่วยเหลือตัวประกัน (หากยังมีหลงเหลือ) ในขณะเดียวกันก็ต้องดูแลแรงงานไทยที่ยังคงทำงานในอิสราเอล
- เศรษฐกิจและพลังงาน ความไม่สงบที่ทวีความรุนแรงขึ้นในตะวันออกกลาง (ซึ่งอาจลามไปยังเลบานอนหรืออิหร่าน) ส่งผลโดยตรงต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งกระทบต่อต้นทุนพลังงานและภาวะเงินเฟ้อในประเทศไทยโดยตรง
- การประท้วงในประเทศ ภาพการเสียชีวิตของเด็ก 22 คน จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดการประท้วงและความไม่พอใจในหมู่ประชากรมุสลิมในภาคใต้ของไทย และกลุ่มนักเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ
บทสรุป บนซากปรักหักพังของจาบาเลีย และซากปรักหักพังของกฎหมายระหว่างประเทศ
อิสราเอลถล่มกาซา ที่จาบาเลียครั้งนี้ คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสงคราม มันได้ทำลายล้างครอบครัว 50 ครอบครัว และยุติชีวิตของเด็ก 22 คน แต่มันยังได้ทำลายความหวังริบหรี่ของการ “หยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม” ที่ประชาคมโลกพยายามผลักดัน
มันตอกย้ำความจริงอันโหดร้ายว่า “กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ” และ “หลักการแห่งสัดส่วน” กำลังล่มสลายในสนามรบจริง
ในขณะที่ IDF ยืนยันในความจำเป็นทางทหาร และสหรัฐฯ ยืนยันในความจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนพันธมิตร โลกกำลังเฝ้าดูว่า “ราคา” ของการกำจัดฮามาส คือชีวิตพลเรือนปาเลสไตน์อีกกี่พัน กี่หมื่นคน และ “เส้นตาย” ที่แท้จริงของโลกตะวันตกอยู่ที่ใด
สำหรับผู้รอดชีวิตในจาบาเลีย คำถามเหล่านั้นมาสายเกินไปแล้ว สิ่งเดียวที่พวกเขารู้ในวันนี้ คือเสียงกรีดร้องที่ยังคงดังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง และความจริงที่ว่า “ไม่มีที่ไหนในกาซาที่ปลอดภัยอีกต่อไป”
แหล่งที่มาจาก : am2con
 
		 
		 
		