(วันที่ 31 ตุลาคม 2025, เมืองเว้/ฮานอย) – เมืองเว้ (Hue) อดีตราชธานีอันเก่าแก่และศูนย์กลางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม กำลังเผชิญหน้ากับ “อุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์” ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกมา หลังจากปรากฏการณ์ “ระเบิดฝน” (Rain Bomb) ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ได้เทกระหน่ำปริมาณน้ำฝนสะสมสูงถึง 1,000 มิลลิเมตร (หรือ 1 เมตร) ภายในระยะเวลาเพียง 24 ชั่วโมง
เหตุการณ์ฝนตกหนักสุดขั้วนี้ ได้ทุบสถิติเดิมทั้งหมดอย่างราบคาบ รวมถึงสถิติจาก “มหาอุทกภัยปี 1999” ที่เคยถูกใช้เป็นมาตรฐานวัดภัยพิบัติของประเทศ และได้เปลี่ยนโฉมหน้าของ เมืองเว้ เวียดนามจมบาดาล ให้กลายเป็น “ทะเลสาบ” ขนาดมหึมาภายในชั่วข้ามคืน
ณ เวลา 1300 น. วันนี้ (31 ต.ค.) ตามเวลาประเทศไทย รายงานยืนยันว่าพื้นที่กว่า 90% ของเมืองเว้จมอยู่ใต้น้ำ ระดับน้ำในเขตเมืองสูงเฉลี่ย 1.5 ถึง 3 เมตร และที่น่าสลดใจที่สุดคือ เขต พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial City) ซึ่งเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ถูกน้ำท่วมทะลักเข้าพื้นที่ชั้นใน สร้างความกังวลไปทั่วโลกว่าอาจเกิดความเสียหายที่ “ไม่สามารถย้อนคืนได้” ต่อโบราณสถานอันล้ำค่า
รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในจังหวัดเถื่อเทียน-เว้ (Thua Thien-Hue) และระดมกำลังทหารจากกองทัพประชาชนเวียดนาม (PAVN) เข้าปฏิบัติการกู้ภัยและอพยพประชาชนหลายหมื่นคนที่ติดค้างอยู่บนหลังคาบ้าน ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก นี่ไม่ใช่แค่วิกฤตน้ำท่วม แต่คือวิกฤตด้านมนุษยธรรมและวัฒนธรรมระดับโลก ที่เกิดขึ้นจากความแปรปรวนสุดขั้วของสภาพภูมิอากาศ

“1,000 มิลลิเมตร” ปรากฏการณ์ “ระเบิดฝน” ที่ทุบสถิติประวัติศาสตร์
หัวใจของหายนะครั้งนี้คือตัวเลขที่ “เหลือเชื่อ” ทางอุตุนิยมวิทยา
ศูนย์พยากรณ์อุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยาแห่งชาติ (NCHMF) ของเวียดนาม รายงานว่า สถานีวัดน้ำฝนในเมืองเว้ วัดปริมาณน้ำฝนสะสมได้สูงถึง 1,005 มิลลิเมตร ในช่วง 24 ชั่วโมง สิ้นสุดเมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม
เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของตัวเลข 1,000 มิลลิเมตร
- เทียบเท่า 1 เมตร หากไม่มีการไหลบ่า น้ำจะท่วมสูง 1 เมตร บนพื้นที่ราบเท่ากัน
- ทุบสถิติเดิม สถิติฝนตก 24 ชั่วโมงสูงสุดที่เคยบันทึกได้ในเว้ อยู่ที่ประมาณ 600-700 มิลลิเมตร ตัวเลข 1,000 มม. นี้จึงสูงกว่าสถิติเดิมเกือบสองเท่า
- เปรียบเทียบกับมหาอุทกภัยปี 1999 เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์ในปี 1999 (ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 600 คน) มีปริมาณน้ำฝนสะสมสูงกว่า 2,000 มม. ก็จริง แต่ นั่นคือปริมาณที่ “ตกสะสมนานเกือบหนึ่งสัปดาห์”
- ความรุนแรง หายนะครั้งนี้จึงแตกต่างออกไป มันคือ “ความเข้มข้น” (Intensity) ของฝนที่ตกลงมาในเวลาอันสั้น หรือที่เรียกว่า “Flash Flood Rain Bomb” ซึ่งระบบระบายน้ำใดๆ ในโลกก็ไม่สามารถรับมือได้ไหว
“นี่คือเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือทุกแผนภูมิที่เราเคยมี” ดร.เหงียน วัน เฮือง (Dr. Nguyen Van Huong) จาก NCHMF กล่าว “เราไม่เคยเห็นอัตราการตกของฝนที่รุนแรงเช่นนี้ในเวียดนามกลางมาก่อน”
สาเหตุของปรากฏการณ์นี้เกิดจาก “ปัจจัยซ้อนทับที่สมบูรณ์แบบ” (A perfect storm combination) ได้แก่
- มวลอากาศเย็น อากาศเย็นกำลังแรงจากทางเหนือ (จีน) แผ่ลงมาปะทะ
- ร่องความกดอากาศต่ำ (ITCZ) ร่องมรสุมที่พาดผ่านเวียดนามกลาง
- ความปั่นป่วนในทะเล หย่อมความกดอากาศต่ำ (Tropical Disturbance) ในทะเลจีนใต้ (ที่เวียดนามเรียกว่า ทะเลตะวันออก) ที่คอยป้อนความชื้นมหาศาล
นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศชี้ว่า แม้ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นเรื่องปกติในฤดูมรสุม แต่ “ภาวะโลกร้อน” (Global Warming) ที่ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ได้ “อัดฉีด” ความชื้นเข้าไปในระบบมากขึ้น ทำให้พายุฝนมีความรุนแรงและสุดขั้วยิ่งกว่าในอดีต
“มรดกโลกจมน้ำ” วิกฤตครั้งใหญ่ของพระราชวังอิมพีเรียล
ในขณะที่ชีวิตมนุษย์คือความสำคัญสูงสุด สายตาของประชาคมโลกกำลังจับจ้องไปยัง “หัวใจ” ของเมืองเว้ นั่นคือ พระราชวังอิมพีเรียล (The Imperial City) หรือที่เรียกว่า “ป้อมปราการ” (The Citadel)
นี่คือศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์เหงียน (Nguyen Dynasty) และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในปี 1993
เช้าวันนี้ ภาพถ่ายทางอากาศและรายงานจากภาคพื้นดินยืนยันสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมกลัวที่สุด น้ำได้ทะลักเข้าท่วมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตพระราชฐานแล้ว
- แม่น้ำเฮือง (Huong River) หรือ “แม่น้ำหอม” ซึ่งไหลผ่านใจกลางเมืองและล้อมรอบพระราชวัง ได้เอ่อล้นตลิ่งอย่างรวดเร็ว โดยมีระดับน้ำสูงกว่าระดับแจ้งเตือนภัยขั้นสูงสุด (Alarm Level 3) มากกว่า 1.5 เมตร
- ความเสียหายที่มองเห็น น้ำท่วมสูงบริเวณกำแพงเมือง, ประตูทางเข้าหลัก (Ngo Mon Gate) และลานหน้าพระที่นั่งไทฮวา (Thai Hoa Palace)
- ความเสียหายที่มองไม่เห็น (และอันตรายที่สุด)
- การกัดเซาะฐานราก โบราณสถานเหล่านี้สร้างด้วยไม้และอิฐแบบดั้งเดิม การที่น้ำท่วมขังเป็นเวลานานจะทำให้ดินอ่อนตัวและกัดเซาะฐานราก ซึ่งอาจนำไปสู่การทรุดตัวหรือพังทลายในอนาคต
- ความชื้นและเชื้อรา เมื่อน้ำลด ความชื้นที่แทรกซึมเข้าไปในโครงสร้างไม้, จิตรกรรมฝาผนัง และเอกสารโบราณ จะนำไปสู่การระบาดของเชื้อราและความเสื่อมสลายที่ “ไม่สามารถย้อนกลับคืนได้”
“เรากำลังเฝ้าดูสถานการณ์ด้วยความกังวลอย่างสุดซึ้ง” ตัวแทนจากสำนักงาน UNESCO ประจำฮานอย กล่าวในแถลงการณ์ “นี่คือภัยพิบัติทางวัฒนธรรม… พระราชวังเว้คือจิตวิญญาณของเวียดนาม การสูญเสียหรือความเสียหายใดๆ ต่อสถานที่แห่งนี้ คือการสูญเสียของมนุษยชาติ”
รัฐบาลเวียดนามเคยทุ่มงบประมาณมหาศาลในการบูรณะพระราชวังแห่งนี้หลังสงครามเวียดนาม และหลังมหาอุทกภัยปี 1999 แต่ “ระเบิดฝน” ในครั้งนี้ คือภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม
ปฏิบัติการกู้ภัยกลาง “ทะเลสาบเว้” กองทัพลุยน้ำอพยพคน
ภาพที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์และสำนักข่าว AP และ Reuters แสดงให้เห็น สถานการณ์น้ำท่วมเมืองเว้ล่าสุด ที่เลวร้ายอย่างที่สุด
- เมืองทั้งเมืองเป็นอัมพาต ถนนทุกสายกลายเป็นคลอง, รถยนต์และมอเตอร์ไซค์จมอยู่ใต้น้ำ, ไฟฟ้าถูกตัดขาดในพื้นที่ส่วนใหญ่เพื่อความปลอดภัย, การสื่อสารล่มในหลายพื้นที่
- เสียงร้องขอความช่วยเหลือ ประชาชนหลายหมื่นคนติดค้างอยู่บนชั้นสองหรือหลังคาของบ้านตนเองท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปราย
- กองทัพเรือลุย กองทัพประชาชนเวียดนาม (PAVN) เขตทหารที่ 4 ได้ส่งกำลังทหารหลายพันนาย พร้อมเรือยาง, ยานพาหนะสะเทินน้ำสะเทินบก และเฮลิคอปเตอร์ เข้าไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพื่ออพยพผู้คน (โดยเฉพาะเด็ก, ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย) ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว
- นักท่องเที่ยวติดค้าง เมืองเว้เป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีรายงานว่านักท่องเที่ยวหลายร้อยคนติดค้างอยู่ในโรงแรมต่างๆ โดยเฉพาะในย่านใจกลางเมืองที่ถูกน้ำท่วมสูง
“มันเกิดขึ้นเร็วมาก” เหงียน ถิ ลาน (Nguyen Thi Lan) ชาวบ้านในเขตฝู่วาง (Phu Vang) ให้สัมภาษณ์กับ VNExpress “ตอนตี 3 น้ำยังแค่ข้อเท้า พอ 6 โมงเช้า มันสูงถึงหน้าอกแล้ว เราหนีไม่ทัน ต้องปีนขึ้นไปรอความช่วยเหลือบนหลังคา”
คณะกรรมการป้องกันและควบคุมภัยพิบัติแห่งชาติ รายงานว่า นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องแข่งกับเวลา เนื่องจากระดับน้ำใน แม่น้ำเฮือง ยังคงทรงตัวในระดับสูง และอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งทางต้นน้ำ (เช่น อ่างเก็บน้ำ Ta Trach และ Huong Dien) กำลังรับน้ำจนเกือบเต็มความจุ และอาจจำเป็นต้อง “ระบายน้ำฉุกเฉิน” ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ในพื้นที่ลุ่มต่ำ
“แนวหน้าโลกร้อน” บทเรียนจากเวียดนามกลาง สู่ อาเซียนและไทย
สาเหตุน้ำท่วมหนักเวียดนามกลาง 2025 ในครั้งนี้ เป็นมากกว่าพายุตามฤดูกาล มันคือ “ภาพอนาคต” ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคโลกร้อน
เวียดนามกลาง ถือเป็นหนึ่งใน “จุดเปราะบาง” (Climate Hotspot) ที่สุดในโลก ด้วยเหตุผลทางภูมิศาสตร์
- ภูมิประเทศแคบ เป็นแผ่นดินแถบแคบๆ ที่ถูกขนาบข้างด้วยเทือกเขาอันนัม (Annamite Range) ทางตะวันตก และทะเลจีนใต้ทางตะวันออก
- ทางผ่านพายุ เมื่อพายุไต้ฝุ่นหรือดีเปรสชันเคลื่อนตัวจากทะเล พอมันปะทะกับเทือกเขาอันนัม มันจะถูก “บังคับ” ให้ยกตัวขึ้นและ “เท” ฝนทั้งหมดลงบนที่ราบริมชายฝั่ง (Orographic Lift)
- ระดับน้ำทะเลหนุน ภาวะโลกร้อนทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ทำให้น้ำในแม่น้ำ (เช่น แม่น้ำเฮือง) ไม่สามารถระบายลงสู่ทะเลได้ตามปกติ ส่งผลให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งได้ง่ายและรุนแรงขึ้น
ดร. ไมเคิล ออปเพนไฮเมอร์ (Dr. Michael Oppenheimer) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (ผู้ร่วมเขียนรายงาน IPCC) ให้ความเห็นกับ The Economist ว่า “สิ่งที่เราเห็นในเมืองเว้ คือสิ่งที่แบบจำลองภูมิอากาศเตือนเรามานานแล้ว… อากาศที่อุ่นขึ้น 1 องศาเซลเซียส จะอุ้มไอน้ำได้มากขึ้น 7% เมื่อเกิดพายุ มันจึงไม่ใช่ ‘พายุธรรมดา’ อีกต่อไป แต่เป็น ‘พายุที่ถูกอัดสเตียรอยด์’ เหตุการณ์ 1,000 มม. ใน 24 ชั่วโมง จะกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยขึ้น”
บทเรียนสำหรับ “อยุธยา” และเมืองมรดกโลกอื่นๆ ในอาเซียน
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ส่งสัญญาณเตือนภัยดังลั่นมายังประเทศไทยและอาเซียน
- ความคล้ายคลึงกับอยุธยา เมืองเว้ และ “อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา” ของไทย มีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าทึ่ง ทั้งคู่เป็น “เมืองหลวงเก่า”, เป็น “มรดกโลก UNESCO” และตั้งอยู่บน “ที่ราบลุ่มแม่น้ำ” (อยุธยามีแม่น้ำเจ้าพระยา, ป่าสัก, ลพบุรี ล้อมรอบ)
- บทเรียนจากปี 2554 (2011) ประเทศไทยเคยเห็นหายนะนี้มาแล้วในมหาอุทกภัยปี 2554 ที่โบราณสถานในอยุธยาจมอยู่ใต้น้ำนานหลายสัปดาห์
- ความท้าทายใหม่ เหตุการณ์ที่เว้ แสดงให้เห็นว่าภัยคุกคามใหม่ไม่ใช่แค่ “น้ำท่วมแช่ขัง” (Inundation) แต่เป็น “น้ำท่วมฉับพลัน” (Flash Flood) ที่มีพลังทำลายล้างสูงกว่า จากปริมาณฝนที่ตกลงมาในเวลาอันสั้น
ผลกระทบน้ำท่วมต่อมรดกโลกเว้ จึงเป็นกรณีศึกษาเร่งด่วนสำหรับรัฐบาลในอาเซียน ว่าแผนการปรับตัว (Adaptation Plan) และการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ ไม่เพียงพออีกต่อไปสำหรับสภาพอากาศสุดขั้วในอนาคต

บทสรุป หลังม่านน้ำ และการต่อสู้ที่เพิ่งเริ่มต้น
ณ บ่ายวันศุกร์ แม้ว่าฝนจะเริ่มเบาบางลงแล้ว แต่ เมืองเว้ เวียดนามจมบาดาล ยังคงอยู่ในภาวะวิกฤต ระดับน้ำยังคงสูง และปฏิบัติการกู้ภัยยังคงดำเนินไปอย่างยากลำบาก
การต่อสู้ระลอกแรกคือการช่วยชีวิตผู้คนและการส่งมอบอาหารและน้ำดื่ม การช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเวียดนาม กำลังเป็นวาระแห่งชาติ
แต่การต่อสู้ระลอกที่สอง ซึ่งจะยาวนานและซับซ้อนกว่า คือการฟื้นฟู “จิตวิญญาณ” ของชาติที่จมอยู่ใต้น้ำ รัฐบาลเวียดนามและ UNESCO จะต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่เจ็บปวดในการประเมินความเสียหายของพระราชวังอิมพีเรียล และหาทางบูรณะมันขึ้นมาใหม่
มหาอุทกภัยปี 1999 เคยเป็น “ฝันร้าย” ที่เวียดนามใช้เวลาหลายสิบปีในการฟื้นตัว แต่ “ระเบิดฝน” ปี 2025 ได้สร้าง “มาตรฐานใหม่” ของหายนะ นี่คือการประกาศอย่างเจ็บปวดว่า ยุคของสภาพอากาศสุดขั้วได้มาถึงเวียดนามกลางอย่างเป็นทางการแล้ว
แหล่งที่มาจาก : am2con