เพลิงไหม้ มารินา เบย์ แซนด์ส “เชื่อมโลหะ” ต้นตอไฟไหม้ สปอตไลท์ส่อง “รอยร้าว” ระบบความปลอดภัยสิงคโปร์ แม้จบลงแบบ “ไร้เจ็บ”

เพลิงไหม้ มารินา เบย์ แซนด์ส

(วันที่ 31 ตุลาคม 2025, สิงคโปร์) – ภาพกลุ่มควันสีเทาจางๆ ที่ลอยออกมาจากอาคาร “ทาวเวอร์ 2” ของ มารินา เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands – MBS) เมื่อช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2025 ได้กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลกภายในไม่กี่นาที แม้ว่าเหตุการณ์ เพลิงไหม้ มารินา เบย์ แซนด์ส ครั้งนี้ จะถูกควบคุมไว้ได้อย่างรวดเร็วและจบลงโดย “ไม่มีผู้บาดเจ็บ” แม้แต่คนเดียว แต่มันได้จุดประกายไฟที่ใหญ่กว่านั้นขึ้นมา นั่นคือการตั้งคำถามอย่างจริงจังต่อ “มาตรฐานความปลอดภัย” ที่เป็นดั่งเกราะเหล็กอันภาคภูมิใจของสิงคโปร์

SCDF (หน่วยป้องกันพลเรือนสิงคโปร์) ได้ออกมายืนยันข้อสรุปเบื้องต้นที่น่าตกใจว่า ต้นเพลิงจากงานเชื่อมโลหะ (Sparks from welding works) คือสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ที่กำลังมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ (Renovation)

ในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพ, กฎระเบียบที่เข้มงวด และการ “อุบัติเหตุเป็นศูนย์” (Zero-Incident) การที่เพลิงไหม้สามารถเกิดขึ้นได้จากความผิดพลาดพื้นฐานในการทำงาน (Hot Works) ณ แลนด์มาร์กที่สำคัญที่สุดของประเทศ ไม่ใช่แค่ “อุบัติเหตุ” เล็กน้อย แต่คือ “รอยร้าว” ที่ชัดเจนในระบบที่เคยถูกมองว่าสมบูรณ์แบบ

ขณะที่ฝ่ายบริหารของ MBS ยืนยันว่าการดำเนินงานของโรงแรม, คาสิโน และศูนย์การค้าไม่ได้รับผลกระทบ แต่ “ควัน” จากเหตุการณ์นี้ได้บดบังภาพลักษณ์ “ความปลอดภัยไร้ที่ติ” ของสิงคโปร์ และกำลังนำไปสู่การสอบสวนที่เข้มข้นที่สุดครั้งหนึ่งโดยกระทรวงแรงงาน (MOM)

Fire breaks out on 55th floor of Marina Bay Sands - CNA

15 นาทีระทึก ถอดรหัสปฏิบัติการดับไฟที่ “แลนด์มาร์ก” สิงคโปร์

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 1430 น. ของวันพฤหัสบดี สัญญาณเตือนไฟไหม้ดังขึ้นที่ “ทาวเวอร์ 2” ของโรงแรม MBS ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการปรับปรุงครั้งใหญ่ (Renovation Project) มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คือบทพิสูจน์ “ระบบวิศวกรรมความปลอดภัย” ที่ยอดเยี่ยมของสิงคโปร์ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ “ความล้มเหลวของกระบวนการด้านมนุษย์” ที่ก่อให้เกิดเพลิงไหม้

ลำดับเหตุการณ์การตอบสนองที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

  1. การทำงานของระบบอัตโนมัติ (วินาทีแรก) ทันทีที่เซ็นเซอร์ตรวจจับควันและความร้อนได้ ระบบสปริงเกลอร์อัตโนมัติ (Automatic Sprinkler System) ภายในท่อระบายอากาศ (Ventilation Duct) ซึ่งเป็นจุดต้นเพลิง ได้ทำงานทันที นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จำกัดวงของเพลิงไหม้ไม่ให้ลุกลาม
  2. การตอบสนองของทีมภายใน (นาทีที่ 1-3) ทีมตอบสนองเหตุฉุกเฉินของบริษัท (CERT) ซึ่งเป็นทีมดับเพลิงภายในของ MBS ที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี ได้รุดหน้าไปยังจุดเกิดเหตุทันที นี่คือข้อบังคับสำหรับอาคารขนาดใหญ่ในสิงคโปร์
  3. การอพยพผู้รับเหมา (นาทีที่ 1-5) MBS ยืนยันว่ามีการอพยพคนงานก่อสร้างและผู้รับเหมาประมาณ 150 คน ออกจากพื้นที่ปรับปรุงดังกล่าวอย่างปลอดภัยและเป็นระเบียบ ไม่มีความตื่นตระหนก และไม่มีแขกของโรงแรมได้รับผลกระทบ
  4. SCDF มาถึง (ภายใน 8 นาที) SCDF ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการตอบสนองที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ (Lightning-fast response) ได้มาถึงที่เกิดเหตุภายใน 8 นาทีหลังได้รับแจ้ง แต่เมื่อมาถึง “เพลิงไหม้ได้ถูกควบคุมไว้แล้ว” โดยสปริงเกลอร์และทีม CERT

โฆษกของ SCDF แถลงว่า “เพลิงไหม้เกิดขึ้นในท่อระบายอากาศในพื้นที่ที่กำลังก่อสร้างของทาวเวอร์ 2 เพลิงไหม้ถูกดับโดยสปริงเกลอร์และหัวฉีดน้ำแรงดันสูง (Water Jet) โดยทีม CERT ของอาคาร… SCDF ทำการตรวจสอบและระบายควันออกจากพื้นที่ ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ”

แม้ปฏิบัติการจะจบลงด้วยความสำเร็จ แต่คำถามสำคัญที่ตามมาคือ ทำไมสปริงเกลอร์ถึงต้องทำงานตั้งแต่แรก?

“ประกายไฟจากการเชื่อม” ต้นตอเล็กๆ ที่เผย “รอยร้าว” ใหญ่ของระบบความปลอดภัย

สาเหตุไฟไหม้ มารินา เบย์ แซนด์ส ที่ SCDF ระบุว่ามาจาก “ประกายไฟจากการเชื่อมโลหะ” ได้เปลี่ยนโฟกัสของข่าวจาก “อุบัติเหตุ” ไปสู่ “ความประมาทเลินเล่อ” ทันที

ในอุตสาหกรรมก่อสร้างและบำรุงรักษา “งานที่ก่อให้เกิดความร้อน” (Hot Works) เช่น การเชื่อม, การตัด หรือการเจียรโลหะ ถือเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงสุดเป็นอันดับต้นๆ ในการก่อให้เกิดเพลิงไหม้

สิงคโปร์ตระหนักถึงความเสี่ยงนี้เป็นอย่างดี และได้บัญญัติกฎหมายที่เข้มงวดที่สุดในโลกไว้ภายใต้ “กฎหมายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในสถานที่ทำงาน” (Workplace Safety and Health Act – WSH Act)

Fire breaks out at Marina Bay Sands, no one hurt - Mothership.SG - News  from Singapore, Asia and around the world

ความล้มเหลวของระบบ “Permit-to-Work”

ภายใต้กฎหมาย WSH การทำงาน “Hot Works” ในสิงคโปร์ไม่สามารถทำได้ทันที แต่ต้องผ่านระบบที่เรียกว่า “การอนุญาตให้ทำงาน” (Permit-to-Work – PTW) ซึ่งเป็นกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยที่ซับซ้อน

  1. การประเมินความเสี่ยง ผู้รับเหมาต้องประเมินความเสี่ยงทั้งหมด
  2. การทำความสะอาดพื้นที่ ต้องกำจัดวัสดุที่ติดไฟได้ทั้งหมด (เช่น ฉนวน, ฝุ่น, เศษไม้) ออกจากพื้นที่โดยรอบจุดเชื่อม (มักกำหนดรัศมี 11 เมตร หรือ 35 ฟุต)
  3. อุปกรณ์ป้องกัน ต้องใช้ผ้าห่มกันไฟ (Fire-resistant blankets) คลุมพื้นที่โดยรอบ
  4. ผู้เฝ้าระวังไฟ (Fire Watcher) นี่คือข้อบังคับสำคัญ ต้องมี “ผู้เฝ้าระวังไฟ” ที่ผ่านการฝึกอบรม พร้อมถังดับเพลิง ยืนเฝ้าตลอดเวลาที่ทำงาน
  5. การตรวจสอบหลังเลิกงาน หลังจากเชื่อมเสร็จ ผู้เฝ้าระวังไฟต้องอยู่ตรวจสอบพื้นที่ต่ออีกอย่างน้อย 30-60 นาที เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีประกายไฟที่มองไม่เห็นหลงเหลืออยู่

การที่ไฟไหม้เกิดขึ้นที่ MBS จากการเชื่อมโลหะ หมายความว่ากระบวนการ PTW ที่เข้มงวดนี้ “ล้มเหลว” อย่างน้อยหนึ่งข้อ (หรือทุกข้อ)

  • อาจมีการเชื่อมโดย “ไม่มีใบอนุญาต”
  • อาจมีการออกใบอนุญาต แต่ “ไม่มีการปฏิบัติตาม” (เช่น ไม่มีการเคลียร์วัสดุไวไฟในท่อระบายอากาศ หรือไม่มีผู้เฝ้าระวังไฟ)

ศาสตราจารย์ด้านความปลอดภัยในอาคารจาก Nanyang Technological University (NTU) ให้ความเห็นว่า “นี่คือความล้มเหลวของกระบวนการด้านมนุษย์ 100% ระบบวิศวกรรมของอาคารทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่กระบวนการกำกับดูแลผู้รับเหมากลับล้มเหลว การที่ประกายไฟจากการเชื่อมตกลงไปในท่อระบายอากาศที่มีวัสดุติดไฟได้ เป็นสิ่งที่ ‘ยอมรับไม่ได้’ (Unacceptable) ในมาตรฐานของสิงคโปร์”

“แบรนด์สิงคโปร์” บนกองไฟ ทำไมเหตุ “ไม่มีผู้บาดเจ็บ” ถึงสะเทือนภาพลักษณ์ระดับโลก?

ในขณะที่ MBS และคณะกรรมการการท่องเที่ยวสิงคโปร์ (Singapore Tourism Board – STB) เร่งประชาสัมพันธ์ว่า มารินา เบย์ แซนด์ส ปิดหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่ปิด” และทุกอย่าง “ดำเนินงานตามปกติ” (Business as usual) แต่ในเวทีโลก “ความเสียหาย” ได้เกิดขึ้นแล้ว

ทำไมไฟไหม้เล็กๆ นี้ถึงสำคัญมาก?

  1. สัญลักษณ์ของความสมบูรณ์แบบ MBS ไม่ใช่แค่โรงแรมหรือคาสิโน มันคือ “สัญลักษณ์” (Icon) ของสิงคโปร์สมัยใหม่ ที่สะท้อนถึงความมั่งคั่ง, นวัตกรรม และที่สำคัญที่สุดคือ “ประสิทธิภาพและความปลอดภัย” ภาพของควันที่ลอยออกจากสัญลักษณ์นี้ จึงส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาที่รุนแรง
  2. การตรวจสอบจาก MOM (กระทรวงแรงงาน) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ กระทรวงแรงงาน (Ministry of Manpower – MOM) กำลัง “กวดขัน” มาตรการความปลอดภัยในสถานที่ทำงานอย่างหนัก หลังมีสถิติการเสียชีวิตในสถานที่ก่อสร้างเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
  3. การลงโทษที่รุนแรง MOM มีอำนาจเต็มที่ในการออก “คำสั่งหยุดงาน” (Stop-Work Order) สำหรับโครงการปรับปรุงทั้งหมดหรือบางส่วน และจะดำเนินการสอบสวนผู้รับเหมาหลัก (Main Contractor) และผู้รับเหมาช่วง (Sub-contractors) ที่เกี่ยวข้อง การสั่งปรับ (Fine) หนักหลายแสนดอลลาร์สิงคโปร์ และการดำเนินคดีอาญากับผู้จัดการโครงการที่รับผิดชอบ เป็นสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน
  4. ความเสี่ยงของ “แบรนด์สิงคโปร์” สิงคโปร์แข่งขันในเวทีโลกด้วย “ความน่าเชื่อถือ” (Trust) รัฐบาลสิงคโปร์ใช้เงินหลายพันล้านในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศที่ “ทุกอย่างทำงานได้ผล” (Everything just works) เหตุการณ์เช่นนี้ แม้จะเล็กน้อย แต่ก็เป็นการบ่อนทำลาย “แบรนด์” ที่ประเมินค่าไม่ได้นี้

Fire breaks out at Marina Bay Sands; no injuries reported

“การปรับปรุงพันล้านดอลลาร์” ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในความหรูหรา

บริบทที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เพลิงไหม้ มารินา เบย์ แซนด์ส ครั้งนี้ เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินโครงการ “Reinvestment Program” มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.35 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์) ซึ่งเป็นการปรับปรุงห้องสวีทและพื้นที่พรีเมียมในทาวเวอร์ 1 และ 2

นี่คือการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ MBS เปิดให้บริการในปี 2010

  • ความซับซ้อน การปรับปรุงอาคารที่เปิดให้บริการปกติ (Live environment) ถือเป็นความท้าทายสูงสุดด้านความปลอดภัย ผู้รับเหมาต้องทำงานเคียงข้างแขกโรงแรมและพนักงาน
  • แรงกดดันด้านเวลา โครงการมูลค่าพันล้านย่อมมีแรงกดดันมหาศาลในการต้องเสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา (Deadline) แรงกดดันนี้มักนำไปสู่การ “ลัดขั้นตอน” (Cutting corners) ด้านความปลอดภัย
  • ความรับผิดชอบของ Las Vegas Sands ในฐานะเจ้าของ Las Vegas Sands (LVS) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ในสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับการตรวจสอบจากนักลงทุน LVS เพิ่งทุ่มเงินอีก 3.3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ สำหรับการขยายอาคารทาวเวอร์ที่ 4 (ซึ่งยังไม่เริ่ม) เหตุการณ์ไฟไหม้ในโครงการปรับปรุงปัจจุบันย่อมสร้างความกังวลว่า LVS มีระบบการกำกับดูแลผู้รับเหมาที่เข้มงวดเพียงพอหรือไม่

นักวิเคราะห์จาก Bloomberg ชี้ว่า “แม้ผลกระทบต่อราคาหุ้น LVS จะมีจำกัดในระยะสั้น แต่สิ่งที่นักลงทุนกังวลคือ ‘ความล่าช้าของโครงการ’ หาก MOM สั่งหยุดงานเป็นเวลานาน มันจะส่งผลกระทบต่อรายได้ในอนาคตที่คาดการณ์ไว้จากการปรับปรุงห้องสวีทใหม่”

บทพิสูจน์ระบบสปริงเกลอร์ และ CERT เมื่อ “วิศวกรรม” ชนะ “ความผิดพลาดของมนุษย์”

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางข่าวร้าย ก็ยังมี “ข่าวดี” ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดซ่อนอยู่ และนี่คือสิ่งที่ SCDF และสิงคโปร์จะเน้นย้ำ

เหตุการณ์นี้คือ “บทพิสูจน์” ที่ดีที่สุดว่า “ระบบความปลอดภัยเชิงวิศวกรรม” (Engineered Safety Systems) ของสิงคโปร์นั้นยอดเยี่ยมเพียงใด

  1. สปริงเกลอร์คือฮีโร่ ไฟถูกดับโดย “สปริงเกลอร์” ไม่ใช่ “นักดับเพลิง” นี่แสดงให้เห็นว่าระบบอัตโนมัติที่ออกแบบไว้ทำงานได้ตามที่คาดหวัง 100%
  2. ทีม CERT ที่แข็งแกร่ง การที่ MBS มีทีม CERT ที่พร้อมปฏิบัติการและเข้าถึงที่เกิดเหตุได้ก่อน SCDF แสดงให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมในระดับสูงของตัวอาคารเอง
  3. การออกแบบอาคาร การที่ไฟถูกจำกัดวงอยู่แค่ใน “ท่อระบายอากาศ” แสดงให้เห็นถึงการออกแบบอาคารที่ป้องกันการลุกลามของไฟ (Fire Compartmentalization) ที่มีประสิทธิภาพ

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “ฮาร์ดแวร์” (ตัวอาคาร, สปริงเกลอร์, ระบบเตือนภัย) ทำงานได้อย่างไร้ที่ติ แต่ “ซอฟต์แวร์” (กระบวนการทำงานของมนุษย์, การกำกับดูแลผู้รับเหมา) คือสิ่งที่ล้มเหลว

นี่คือชัยชนะของวิศวกรรมป้องกันอัคคีภัย แต่เป็นความพ่ายแพ้ของการจัดการความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน

บทเรียนสำหรับ “เมกะโปรเจกต์” ในอาเซียนและไทย

โศกนาฏกรรมที่ “เกือบจะเกิดขึ้น” (Near-miss) ที่ MBS นี้ เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน รวมถึงประเทศไทย ที่กำลังมีการก่อสร้าง “เมกะโปรเจกต์” และ “อาคารแบบผสมผสาน” (Integrated Resorts) ขนาดใหญ่จำนวนมาก เช่น โครงการ One Bangkok, The Forestias หรือโครงการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

บทเรียนจาก ไฟไหม้สิงคโปร์ ครั้งนี้ ชัดเจนมาก

  • “การปรับปรุง” อันตรายกว่า “การสร้างใหม่” ความเสี่ยงจากอัคคีภัยมักจะสูงสุดในช่วงการปรับปรุง (Renovation) เพราะมีวัสดุไวไฟที่ไม่คาดคิด, ระบบความปลอดภัยบางส่วนอาจถูกปิดชั่วคราว และมีคนงานที่ไม่คุ้นเคยกับอาคาร
  • อย่าไว้วางใจผู้รับเหมาช่วง บริษัทเจ้าของโครงการขนาดใหญ่ (เช่น LVS หรือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทย) ไม่สามารถ “ผลัก” ความรับผิดชอบด้านความปลอดภัยไปให้ผู้รับเหมาหลักได้ทั้งหมด ต้องมีระบบตรวจสอบซ้ำซ้อน
  • มาตรฐาน Hot Works คือหัวใจ ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ต้องทบทวนและบังคับใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับ “งานเชื่อมโลหะ” และ “งานที่ก่อให้เกิดความร้อน” อย่างจริงจังเทียบเท่าสิงคโปร์

บทสรุป การสอบสวนที่เข้มข้น และอนาคตของ MBS ภายใต้กล้องจุลทรรศน์

เพลิงไหม้ มารินา เบย์ แซนด์ส ได้มอดดับลงแล้ว และฝุ่นควันก็จางหายไปโดย ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่ควันหลงจากการสอบสวนเพิ่งจะเริ่มต้น

กระทรวงแรงงาน (MOM) จะเป็นผู้นำในการ “ชำแหละ” กระบวนการทำงานของผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน คาดว่าจะมีการสั่งปรับและบทลงโทษที่รุนแรงตามมา เพื่อ “เชือดไก่ให้ลิงดู” และส่งข้อความที่ชัดเจนว่า แม้แต่ที่ MBS ความประมาทเลินเล่อก็เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

สำหรับ มารินา เบย์ แซนด์ส นี่คือบทเรียนราคาแพง (แม้จะไม่มีความเสียหายใหญ่โต) ที่ตอกย้ำว่าชื่อเสียงที่สั่งสมมานับสิบปี อาจถูกทำลายได้ด้วย “ประกายไฟ” เพียงครั้งเดียวจากความมักง่าย

สิงคโปร์ยังคงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก แต่เหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้แต่ในระบบที่รัดกุมที่สุด “ความผิดพลาดของมนุษย์” (Human Error) ก็ยังคงเป็นจุดอ่อนที่อันตรายที่สุดเสมอ

 

แหล่งที่มาจาก : am2con