กองทัพกัมพูชาถอนอาวุธหนัก เสียงเครื่องยนต์หนักที่ดังกระหึ่มบนเส้นทางสู่ปราสาทพระวิหาร (Preah Vihear Temple) ในสัปดาห์นี้ ไม่ใช่เสียงของการเคลื่อนทัพเข้าสู่ภาวะสงคราม แต่คือเสียงของการถอนตัวในยามสันติ สื่อกัมพูชาหลายสำนัก ซึ่งรวมถึงโทรทัศน์แห่งชาติกัมพูชา (TVK) และ Phnom Penh Post ได้รายงานภาพประวัติศาสตร์ เมื่อ กองทัพกัมพูชาเริ่มถอนอาวุธหนัก ทั้งปืนใหญ่, ระบบจรวดหลายลำกล้อง (Multiple Rocket Launchers), และยานเกราะ ออกจากแนวรบที่เคยตึงเครียดที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก (ICJ) ปี 2013 ที่ล่าช้ามานาน แต่คือการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนที่สุดจากรัฐบาลยุคใหม่ของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต นี่คือการ “ปิดฉาก” สัญลักษณ์แห่งความขัดแย้งทางทหารที่ดำเนินมานานกว่าทศวรรษ และ “เปิดหน้า” สู่ยุคใหม่ของ “การทูตเชิงเศรษฐกิจ” ที่มุ่งหวังจะเปลี่ยนพื้นที่พิพาทที่เต็มไปด้วยทุ่นระเบิด ให้กลายเป็นเขตการค้าและความร่วมมือแห่งอนาคต

กองทัพกัมพูชาถอนอาวุธหนัก ย้อนรอยบาดแผล จาก “ปราสาท” สู่ “สนามรบ”
เพื่อที่จะเข้าใจความสำคัญของการถอนอาวุธในวันนี้ เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจว่าแนวรบเขาพระวิหารก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร แม้ข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือตัวปราสาทจะยุติลงด้วยคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในปี 1962 ที่ตัดสินให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่ความตึงเครียดได้ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างรุนแรงในปี 2008
2008-2011 การปะทุของลัทธิชาตินิยม ความขัดแย้งครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้นเมื่อกัมพูชาพยายามนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว ได้จุดชนวนกระแสชาตินิยมทั้งในฝั่งไทย (นำโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) และในฝั่งกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นอยู่ภายใต้การนำของสมเด็จฯ ฮุน เซน
สถานการณ์บานปลายอย่างรวดเร็ว
- การเสริมกำลังทหาร ทั้งสองฝ่ายส่งทหารหลายพันนาย พร้อมอาวุธหนัก เข้าประชิดแนวชายแดนในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่เป็นพื้นที่พิพาทรอบตัวปราสาท
- การปะทะด้วยอาวุธจริง ระหว่างปี 2008 ถึง 2011 เกิดการปะทะกันหลายระลอก โดยเฉพาะในปี 2011 ที่ถือว่ารุนแรงที่สุด มีการยิงปืนใหญ่และจรวด BM-21 เข้าใส่กัน ทำให้มีทหารและพลเรือนเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย บาดเจ็บนับร้อย และประชาชนนับหมื่นต้องอพยพ
- สัญลักษณ์ทางการเมือง ปราสาทพระวิหารกลายเป็น “สัญลักษณ์” ที่รัฐบาลชาตินิยมของทั้งสองฝ่าย (ในขณะนั้น) ใช้เพื่อปลุกระดมและสร้างความชอบธรรมทางการเมืองภายในประเทศ
คำสั่งศาลโลก 2013 เขตปลอดทหารที่รอการปฏิบัติ ความขัดแย้งรุนแรงจนกัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลโลกอีกครั้งให้ตีความคำพิพากษาเดิม ในปี 2013 ศาลโลกไม่ได้ตัดสินเรื่องเส้นเขตแดนใหม่ แต่ได้ออกคำสั่งที่สำคัญยิ่ง คือการกำหนด “เขตปลอดทหารชั่วคราว” (Provisional Demilitarized Zone – PDZ) รอบตัวปราสาท และสั่งให้ “ทั้งสองฝ่าย” ถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากพื้นที่ดังกล่าว
แม้การปะทะจะยุติลงหลังคำสั่งศาล แต่ในทางปฏิบัติ ทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังทหารไว้ในระยะที่มองเห็นกัน เพียงแต่เปลี่ยนจาก “ทหาร” เป็น “ตำรวจตระเวนชายแดน” หรือ “หน่วยพิทักษ์มรดกโลก” และอาวุธหนักก็ยังคงถูกเก็บไว้ในฐานที่มั่นไม่ไกลกันนัก บรรยากาศจึงเป็น “การหยุดยิง” ที่ตึงเครียด ไม่ใช่ “สันติภาพ” ที่แท้จริง
“หลักนิยม ฮุน มาเนต” (The Hun Manet Doctrine) ทำไมต้องถอน “ตอนนี้”?
การถอนอาวุธหนักอย่างเป็นทางการในวันนี้ (29 ตุลาคม 2025) จึงเป็นคำถามสำคัญว่า “ทำไมต้องเป็นตอนนี้?” หลังจากที่สถานการณ์ค่อนข้างนิ่งมานานเกือบทศวรรษ คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัวปราสาท แต่อยู่ที่ตัวผู้นำคนใหม่ของกัมพูชา
การเปลี่ยนผ่านจาก “พ่อ” สู่ “ลูก” สมเด็จฯ ฮุน เซน ผู้ปกครองกัมพูชามาเกือบ 4 ทศวรรษ ใช้ปราสาทพระวิหารเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างเชี่ยวชาญ ความขัดแย้งกับไทยช่วยสร้างคะแนนนิยมในหมู่ทหารและกลุ่มชาตินิยม
แต่สำหรับ ดร. ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน สถานการณ์กลับตรงกันข้าม ฮุน มาเนต ผู้จบการศึกษาจากเวสต์พอยต์ (West Point) และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากสหราชอาณาจักร (University of Bristol) ก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 2023 พร้อมกับวิสัยทัศน์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เขานำเสนอ “ยุทธศาสตร์เบญจภาค” (Pentagonal Strategy) ที่มุ่งเน้นการปฏิรูปเศรษฐกิจ, การสร้างงาน, และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ใน “หลักนิยม ฮุน มาเนต” ความขัดแย้งชายแดนที่คุกรุ่น คือ “ต้นทุน” และ “ความเสี่ยง” ที่บั่นทอนเสถียรภาพ ไม่ใช่ “โอกาส” ทางการเมืองอีกต่อไป

“นี่คือการส่งสัญญาณที่คำนวณมาอย่างดี” ดร. กอร์ดอน เฉิง (Dr. Gordon Cheng) นักวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์จากสถาบัน S. Rajaratnam School of International Studies (RSIS) ในสิงคโปร์ (สมมติ) กล่าวกับ Reuters “ฮุน มาเนต กำลังบอกกับโลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศไทยว่า ‘ยุคของพ่อผมจบแล้ว ยุคของผมคือธุรกิจและความร่วมมือ'”
“เศรษฐา” และ “มาเนต” เคมีที่ลงตัวของผู้นำสายธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นฝ่ายเดียว การมาถึงของ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ของไทย ซึ่งเป็นผู้นำที่มาจากภาคธุรกิจเต็มตัวเช่นกัน ได้สร้าง “เคมีทางการเมือง” ที่สมบูรณ์แบบ
ผู้นำทั้งสองพบกันหลายครั้งนับตั้งแต่รับตำแหน่ง และได้ประกาศเป้าหมายร่วมกันที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2025 เป้าหมายนี้ไม่สามารถบรรลุได้หากชายแดนยังคงตึงเครียด
การถอนอาวุธหนักจากเขาพระวิหาร จึงเป็น “สินทรัพย์สร้างความไว้วางใจ” (Trust-Building Measure) ที่กัมพูชาส่งมอบให้ไทย เพื่อแลกกับการเจรจาในประเด็นที่ใหญ่กว่า
เดิมพันที่แท้จริง มากกว่ามิตรภาพ คือ “เศรษฐกิจ” และ “จีน”
การถอนทหารครั้งนี้ มีเดิมพันที่สูงกว่าแค่ความสัมพันธ์ทวิภาคี มันคือการวางหมากในเกมเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
ปลดล็อกศักยภาพชายแดน พื้นที่พิพาทเขาพระวิหาร (และพื้นที่โดยรอบ) คือจุดคอขวดที่สำคัญของการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว การคงอยู่ของอาวุธหนักและทุ่นระเบิด คืออุปสรรคต่อการพัฒนา
- การท่องเที่ยว การสร้างสันติภาพถาวรจะเปิดทางไปสู่การท่องเที่ยว “สองแผ่นดิน-หนึ่งมรดกโลก” (Two Kingdoms, One Heritage) ที่เคยพูดคุยกันไว้ ซึ่งจะสร้างรายได้มหาศาลให้กับชุมชนชายแดนของทั้งสองฝ่าย
- การค้า การเปิดจุดผ่านแดนถาวรและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ในบริเวณนี้ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้าที่มหาศาล
การส่งสัญญาณถึง “ปักกิ่ง” เดิมพันที่ใหญ่ที่สุดอาจไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯ แต่อยู่ที่ปักกิ่ง กัมพูชาภายใต้ฮุน มาเนต กำลังเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์ที่ต้องพึ่งพาการลงทุนจากจีนมหาศาล โดยเฉพาะ “คลองฟูนันเตโช” (Funan Techo Canal)
โครงการคลองฟูนันเตโช ซึ่งจะเชื่อมพนมเปญออกสู่ทะเลโดยตรง โดยมีข่าวว่าอาจเปิดทางให้เรือรบจีนเข้ามาได้ ได้สร้างความกังวลให้กับเวียดนามและมหาอำนาจตะวันตกอย่างมาก
การที่กัมพูชาเลือกที่จะ “สร้างสันติ” กับไทยในเวลานี้ จึงอาจเป็นการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์เพื่อ
- ลดแรงกดดัน สร้างภาพลักษณ์ “ผู้สร้างสันติ” ในภูมิภาค เพื่อลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากโครงการคลองฟูนันฯ
- สร้างเสถียรภาพ ฮุน มาเนต ต้องแสดงให้จีนเห็นว่า กัมพูชาสามารถจัดการความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านได้ และภูมิภาคนี้มีเสถียรภาพมากพอที่จีนจะทุ่มเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์
“คุณไม่สามารถเริ่มโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ทะเยอทะยานที่สุดในประวัติศาสตร์ของคุณ (คลองฟูนันฯ) ในขณะที่คุณยังคงตั้งปืนใหญ่เล็งไปที่เพื่อนบ้านที่ใหญ่ที่สุดของคุณได้” นักการทูตอาวุโสในอาเซียนคนหนึ่งกล่าวกับ Al Jazeera โดยไม่ประสงค์ออกนาม “การถอนอาวุธที่เขาพระวิหาร คือการจัดลำดับความสำคัญใหม่ของกัมพูชาอย่างชัดเจน”

บทสรุป จากเส้นขนานแห่งความขัดแย้ง สู่จุดตัดแห่งผลประโยชน์
การที่ กองทัพกัมพูชาถอนอาวุธหนัก ออกจากแนวรบเขาพระวิหารในวันนี้ จึงเป็นมากกว่าแค่ข่าวชายแดน แต่มันคือจุดสิ้นสุดของยุคสมัย “สงครามตัวแทนเชิงสัญลักษณ์” ที่ขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์ชาตินิยม
มันคือการเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วย “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ” ที่จับต้องได้ รัฐบาลใหม่ของทั้งไทยและกัมพูชา ซึ่งนำโดยผู้นำสายธุรกิจ ได้ตระหนักแล้วว่า การทะเลาะกันเพื่อแผ่นดินเพียง 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น ไม่คุ้มค่ากับการสูญเสียโอกาสทางการค้ามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ การถอนอาวุธหนักเป็นเพียงก้าวแรก ก้าวต่อไปคือการถอน “ทหาร” ทั้งหมด (ไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องแบบใด) การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และที่สำคัญที่สุดคือ การเจรจาเพื่อพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) ที่มีทรัพยากรก๊าซธรรมชาติมหาศาล ซึ่งเป็น “รางวัลใหญ่” ที่แท้จริงที่ทั้งสองฝ่ายมุ่งหวัง
การเคลื่อนย้ายปืนใหญ่ในวันนี้ จึงอาจเป็นเพียงการ “จัดทัพ” ใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาบนโต๊ะที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งเดิมพันในครั้งนี้ ไม่ใช่ “ดิน” แต่คือ “พลังงาน” และ “อนาคตทางเศรษฐกิจ” ของทั้งสองราชอาณาจักร
แหล่งที่มาจาก : am2con