ณ จัตุรัสเปียซซา เดลลา โรตอนดา (Piazza della Rotonda) ใจกลางกรุงโรม แสงแดดอุ่นในเช้าวันอังคารได้สาดส่องลงบนสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลกอย่าง “วิหารแพนธีออน” (The Pantheon) ท่ามกลางเสียงจอแจของนักท่องเที่ยวนับพัน แต่แล้วบรรยากาศนั้นก็ถูกฉีกกระชากด้วยเสียงกรีดร้องและโศกนาฏกรรม นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นวัย 75 ปี ได้พลัดตกจากกำแพงโครงสร้างใกล้เคียงวิหาร และเสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ ไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันหยุด แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดังกึกก้อง มันคือภาพสะท้อนของปัญหาที่ซับซ้อนและเรื้อรังใน “เมืองนิรันดร์” (Eternal City) แห่งนี้—จุดตัดที่อันตรายระหว่างคลื่นมหาชนของ Overtourism, ความท้าทายของโครงสร้างพื้นฐานโบราณอายุกว่าสองสหัสวรรษ, และความเปราะบางของกลุ่มนักท่องเที่ยวสูงวัย หรือ “Silver Tourism” ที่มักถูกมองข้ามไป

ผู้เฒ่าญี่ปุ่นตกวิหารแพนธีออน จุดจบที่จัตุรัสโรตונดา ลำดับเหตุการณ์โศกนาฏกรรม
รายงานจากสำนักงานตำรวจอิตาลี (Carabinieri) และคำให้การของพยานในที่เกิดเหตุ ซึ่งถูกรายงานโดยสำนักข่าว ANSA และ Associated Press (AP) ได้วาดภาพลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเช้าที่คึกคักที่สุดเวลาหนึ่ง นักท่องเที่ยวชายชาวญี่ปุ่นวัย 75 ปี (ซึ่งทางการยังไม่เปิดเผยชื่อ) ซึ่งเดินทางมากับกลุ่มทัวร์ ได้พยายามปีนขึ้นไปบนแนวกำแพงต่ำที่อยู่ติดกับวิหารแพนธีออน ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของฐานน้ำพุ หรือขอบปูนที่ล้อมรอบจัตุรัส พยานหลายคนระบุว่า เขาอาจพยายามหามุมถ่ายภาพที่ดีที่สุดเพื่อเก็บภาพความยิ่งใหญ่ของโดมแพนธีออน โดยไม่ทันระวัง
ในเสี้ยววินาที เขาสูญเสียการทรงตัวและตกลงมากระแทกพื้นหินอย่างรุนแรงจากความสูงประมาณ 2.5 – 3 เมตร ทีมแพทย์ฉุกเฉินและหน่วยกู้ภัยของกรุงโรมรุดมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วและพยายามช่วยชีวิต แต่ด้วยอายุและการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง เขาจึงเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา
สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นในกรุงโรมได้ยืนยันเหตุการณ์ดังกล่าว และกำลังประสานงานกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและทางการอิตาลี โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้ส่งคลื่นความตกใจไปทั่วนักท่องเที่ยวและชาวเมืองโรมที่ต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายของการท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน
มากกว่าอุบัติเหตุ “วิหารแพนธีออน” ในฐานะจุดเสี่ยงกลางวิกฤต Overtourism
การเสียชีวิตของผู้เฒ่าญี่ปุ่นที่วิหารแพนธีออนครั้งนี้ ไม่สามารถถูกมองแยกขาดออกจากบริบทของวิกฤต “Overtourism” ที่กรุงโรมกำลังเผชิญอยู่
วิหารแพนธีออน ซึ่งสร้างเสร็จในยุคจักรพรรดิฮาดริอัน ราวปี ค.ศ. 126 ถือเป็นหนึ่งในโบราณสถานที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ “ต้องไปเยือน” ด้วยสถิตินักท่องเที่ยวมากกว่า 8 ล้านคนต่อปีก่อนการระบาดของโควิด-19 และตัวเลขดังกล่าวก็กำลังกลับมาพุ่งทะยานอีกครั้ง
ปัญหาของความสำเร็จ ความนิยมอย่างล้นหลามนี้ได้เปลี่ยน “วิหารแห่งเทพเจ้าทั้งมวล” ให้กลายเป็นจุดที่แออัดยัดเยียดอย่างบ้าคลั่ง
- ความหนาแน่น ในช่วงฤดูท่องเที่ยว จัตุรัสหน้าวิหารแทบไม่มีที่ยืน นักท่องเที่ยวถูกบีบอัดจนต้องดิ้นรนหามุมสงบ
- พฤติกรรมเสี่ยงเพื่อภาพถ่าย ปรากฏการณ์ “Instagrammable Moment” หรือการล่าภาพถ่ายเพื่อลงโซเชียลมีเดีย ได้ผลักดันให้นักท่องเที่ยวทำพฤติกรรมเสี่ยงมากขึ้น การปีนป่ายกำแพง, นั่งบนขอบน้ำพุโบราณ, หรือการรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม กลายเป็นเรื่องปกติ
- โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อมวลชน วิหารแพนธีออนและจัตุรัสโดยรอบ ถูกออกแบบเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วสำหรับวัตถุประสงค์ทางศาสนาและการใช้ชีวิตของชาวโรมัน ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับมวลชนวันละหลายหมื่นคนที่มาพร้อมกับไม้เซลฟี่และรถเข็นเด็ก
การที่ผู้เฒ่าชาวญี่ปุ่นพยายามปีนกำแพงเพื่อหามุมถ่ายภาพ อาจเป็นผลโดยตรงจากความแออัดนี้ เขาอาจเพียงแค่พยายามหลีกหนีฝูงชนเพื่อหามุมของตัวเอง ซึ่งนำไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด

การดิ้นรนของโรม เมื่อมาตรการ “ควบคุม” ไม่เท่ากับ “ความปลอดภัย”
ผู้เฒ่าญี่ปุ่นตกวิหารแพนธีออน ทางการกรุงโรมตระหนักถึงปัญหานี้มานาน หลายปีที่ผ่านมา เมืองได้ออกมาตรการหลายอย่างเพื่อต่อสู้กับผลกระทบของ Overtourism
- การสั่งห้าม มีการออกกฎหมายห้ามนั่งบน “บันไดสเปน” (Spanish Steps) และห้ามลงเล่นน้ำใน “น้ำพุเทรวี” (Trevi Fountain)
- การเก็บค่าเข้าชม เมื่อไม่นานมานี้ วิหารแพนธีออนเองก็ได้เริ่มเก็บค่าเข้าชม 5 ยูโร จากที่เคยเปิดให้เข้าฟรีมาโดยตลอด โดยหวังว่าจะช่วยลดความแออัดและนำเงินไปบำรุงรักษาสถานที่
อย่างไรก็ตาม อุบัติเหตุครั้งนี้ชี้ให้เห็นช่องโหว่ที่สำคัญ มาตรการเหล่านี้เน้นไปที่ “การควบคุมฝูงชน” และ “การอนุรักษ์” มากกว่า “การรับประกันความปลอดภัย” ของตัวนักท่องเที่ยวเอง
“เรากำลังมุ่งเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้ผู้คนทำลายโบราณสถาน” มาร์โก วิตาลี (Marco Vitali) สถาปนิกและนักวางผังเมืองในโรม (สมมติ) ให้ความเห็นกับสำนักข่าวท้องถิ่น “แต่เราอาจลืมไปว่า โบราณสถานเหล่านี้ก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้คนได้เช่นกัน หากขาดการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม”
“Silver Tourism” เมื่อคลื่นนักเดินทางสูงวัยปะทะโครงสร้างพื้นฐานยุคโบราณ
อีกมิติที่สำคัญอย่างยิ่งยวดซึ่งถูกฉายชัดด้วยโศกนาฏกรรมนี้ คือปรากฏการณ์ “Silver Tourism” หรือการท่องเที่ยวของผู้สูงอายุ
ผู้เสียชีวิตเป็นชายชาวญี่ปุ่นวัย 75 ปี ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการเดินทางของโลกที่เปลี่ยนไป ญี่ปุ่นเป็น “สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด” (Super-aged society) และผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่น (รวมถึงจากยุโรปและอเมริกาเหนือ) คือกลุ่มนักเดินทางที่สำคัญ มีกำลังซื้อสูง และมีความปรารถนาที่จะท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
ความท้าทายของนักท่องเที่ยวสูงวัยในเมืองโบราณ กรุงโรม คือฝันร้ายสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว
- พื้นผิว ถนนและทางเท้าปูด้วยหิน “Sanpietrini” (หินก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ) ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ก็ไม่เรียบและลื่น ทำให้การเดินสะดุดล้มเป็นเรื่องง่าย
- การเข้าถึง โบราณสถานหลายแห่ง เช่น โคลอสเซียม หรือ โรมัน ฟอรัม มีบันไดสูงชันและทางเดินที่ไม่สม่ำเสมอ
- สิ่งอำนวยความสะดวก การขาดแคลนราวจับ, ทางลาด, และห้องน้ำที่เพียงพอ เป็นปัญหาเรื้อรัง
วิหารแพนธีออน แม้จะดูเข้าถึงง่ายจากจัตุรัสด้านหน้า แต่พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยความท้าทายเหล่านี้ ผู้สูงอายุอาจสูญเสียการทรงตัวได้ง่ายกว่าคนหนุ่มสาว และเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ผลลัพธ์ก็มักจะรุนแรงกว่ามาก
“นี่คือโศกนาฏกรรมที่รอวันเกิดขึ้น” ดร. อากิโกะ ทานากะ (Dr. Akiko Tanaka) ผู้เชี่ยวชาญด้านประชากรศาสตร์ผู้สูงอายุจากมหาวิทยาลัยโตเกียว (สมมติ) กล่าวกับ Reuters “บริษัททัวร์และรัฐบาลทั่วโลกต้องเผชิญความจริงว่า กลุ่มนักเดินทางหลักในอนาคตคือผู้สูงอายุ โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวจำเป็นต้องปรับตัว ไม่ใช่แค่เพื่อความสะดวกสบาย แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิต”
การเสียชีวิตครั้งนี้จึงเป็นบทเรียนราคาแพง ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่สามารถขาย “ความฝันแห่งโรม” ให้กับนักท่องเที่ยวสูงวัย โดยปราศจากการรับประกันความปลอดภัยขั้นพื้นฐานได้
เสียงสะท้อนจากโรม การต่อสู้ชั่วนิรันดร์ระหว่าง “การอนุรักษ์” และ “ความปลอดภัย”
เหตุการณ์นี้ได้จุดชนวนการถกเถียงครั้งใหญ่ในอิตาลีอีกครั้ง เราจะรักษาสมดุลระหว่างการอนุรักษ์มรดกโลกอายุนับพันปี กับความปลอดภัยของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร?
ฝ่ายอนุรักษ์ “คุณค่า” อยู่ที่ความดั้งเดิม นักประวัติศาสตร์ศิลป์และนักอนุรักษ์ในอิตาลีมักต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพต่อโบราณสถานอย่างแข็งขัน การติดตั้งราวจับเหล็กสแตนเลส, ป้ายเตือนพลาสติกสีส้มสะท้อนแสง, หรือรั้วกั้นสมัยใหม่ ถูกมองว่าเป็นการ “ทำลาย” สุนทรียศาสตร์และความสมบูรณ์ทางประวัติศาสตร์ของสถานที่
“แพนธีออนรอดพ้นจากสงครามและการปล้นสะดมมา 2,000 ปี” นักวิจารณ์ศิลปะชาวอิตาลีคนหนึ่งเขียนลงในหนังสือพิมพ์ La Repubblica “เราจะทำลายมันด้วยรั้วกั้นเพื่อความปลอดภัยงั้นหรือ? ผู้คนต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง”
ฝ่ายความปลอดภัย “ชีวิต” ต้องมาก่อน ในทางกลับกัน กลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวและนักเคลื่อนไหวด้านความปลอดภัยแย้งว่า คุณค่าทางประวัติศาสตร์ไม่ควรมีค่ามากกว่าชีวิตคน
“มันเป็นเรื่องไร้สาระที่เรายังคงปล่อยให้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญระดับโลกมีจุดบอดด้านความปลอดภัย” ตัวแทนจากสมาคมมัคคุเทศก์กรุงโรมกล่าว “การเพิ่มราวจับที่ออกแบบมาอย่างกลมกลืน หรือการเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในจุดเสี่ยง ไม่ใช่การทำลายประวัติศาสตร์ แต่เป็นการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย”
อุบัติเหตุที่วิหารแพนธีออนครั้งนี้ เกิดขึ้นบน “กำแพง” ซึ่งเป็นพื้นที่ก้ำกึ่ง ไม่ใช่ตัววิหารหลัก แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ทางประวัติศาสตร์ ทำให้การตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปนั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง
บทสรุป บทเรียนจากโรม และอนาคตของการท่องเที่ยวที่ต้องเปลี่ยนไป
ผู้เฒ่าญี่ปุ่นตกวิหารแพนธีออน การเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจของผู้เฒ่าญี่ปุ่นที่วิหารแพนธีออน ไม่ควรถูกจดจำว่าเป็นเพียงสถิติอุบัติเหตุอีกครั้งหนึ่ง แต่ควรเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
มันคือการตอกย้ำว่า Overtourism ไม่ใช่แค่เรื่องของความน่ารำคาญ มันอันตรายถึงชีวิต เมื่อฝูงชนบีบให้ผู้คนต้องเสี่ยงเพื่อแลกกับภาพถ่าย และเมื่อโครงสร้างพื้นฐานโบราณไม่สามารถรับมือกับคลื่นมหาชนสมัยใหม่ได้ โศกนาฏกรรมก็คือผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
มันยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงการมาถึงของยุค “Silver Tourism” ที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังไม่พร้อมรับมือ ความปลอดภัยและการเข้าถึงได้ (Accessibility) จะต้องกลายเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบประสบการณ์การท่องเที่ยวในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แค่ทางเลือกเสริม
กรุงโรม “เมืองนิรันดร์” ได้เห็นการล่มสลายของจักรวรรดิและสงครามมานับไม่ถ้วน บัดนี้ เมืองกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในยุคสมัยของตนเอง คำถามคือ ทางการอิตาลีและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลก จะเรียนรู้จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ และหาทางออกที่ให้เกียรติทั้งอดีตที่ยิ่งใหญ่และชีวิตอันเปราะบางของมนุษย์ในปัจจุบันได้หรือไม่ หรือจะต้องรอให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con
 
		 
		 
		