ยูเอ็นลงนาม “ข้อตกลงอาชญากรรมไซเบอร์” ที่เวียดนาม – ชัยชนะของ “รัฐอธิปไตยดิจิทัล” หรือ “เครื่องมือ” ปิดปากสิทธิมนุษยชน?

ข้อตกลงอาชญากรรมไซเบอร์ ยูเอ็น

ข้อตกลงอาชญากรรมไซเบอร์ ยูเอ็น กรุงฮานอย (22 ตุลาคม 2025) – องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เตรียมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในสัปดาห์นี้ ด้วยการเปิดให้มีการลงนาม “ข้อตกลงอาชญากรรมไซเบอร์ ยูเอ็น” (UN Cybercrime Agreement) ฉบับแรกของโลก ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ท่ามกลางการจับตามองอย่างใกล้ชิดจากทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การที่ ยูเอ็น ลงนามที่เวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีกฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย กลับไม่ได้มีเพียงเสียงชื่นชม แต่ยังเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนและชาติตะวันตก

นี่คือการต่อสู้ทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งสำคัญระหว่าง “อินเทอร์เน็ตที่เปิดกว้าง” (Open Internet) ที่นำโดยสหรัฐฯ และยุโรป กับแนวคิด “อธิปไตยดิจิทัล” (Digital Sovereignty) ที่นำโดยรัสเซียและจีน นักวิเคราะห์เตือนว่า สนธิสัญญาอาชญากรรมไซเบอร์ ฉบับนี้ อาจกลายเป็น “เครื่องมือที่ถูกกฎหมาย” ในมือนานาชาติ เพื่อใช้ปราบปรามเสรีภาพในการแสดงออกและปิดปากผู้เห็นต่างทางการเมืองทั่วโลก

Viet Nam announces official dates for the Signing Ceremony of the United  Nations Convention on Cybercrime - The United Nations Convention

ข้อตกลงอาชญากรรมไซเบอร์ ยูเอ็น ฮานอย 2025 หมุดหมายใหม่ของ “ระเบียบโลกดิจิทัล”

การเลือกกรุง ฮานอย ประเทศ เวียดนาม เป็นสถานที่สำหรับการลงนามครั้งประวัติศาสตร์นี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เต็มไปด้วยนัยสำคัญเชิงสัญลักษณ์

สนธิสัญญาอาชญากรรมไซเบอร์ ฉบับนี้ (ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อวัตถุประสงค์ทางอาญา”) ถือเป็นความพยายามครั้งแรกของโลกที่จะสร้างมาตรฐานสากลในการต่อสู้กับ อาชญากรรมออนไลน์ ตั้งแต่การแฮ็กข้อมูล, การฉ้อโกงทางการเงิน (Scams), ไปจนถึงการเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก

ทำไมต้องเป็น “เวียดนาม”?

  1. สัญลักษณ์ “อธิปไตยดิจิทัล” เวียดนามเป็นที่รู้จักจากกฎหมาย ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Law) ที่เข้มงวดของตนเอง (ที่มักถูกเรียกว่า “กำแพงไผ่” หรือ Bamboo Firewall) ซึ่งบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีต่างชาติต้องจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้ในประเทศ (Data Localization) และให้อำนาจรัฐในการเซ็นเซอร์เนื้อหาที่ถือเป็น “ภัยความมั่นคง” การเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ จึงเป็นการตอกย้ำจุดยืนของเวียดนามในฐานะผู้เล่นสำคัญในเวทีดิจิทัลโลก และเป็นสัญลักษณ์ของแนวคิดที่ว่า “รัฐ” ควรมีอำนาจในการควบคุมโลกออนไลน์
  2. ชัยชนะทางการทูตของรัสเซียและจีน การเจรจาสนธิสัญญาฉบับนี้ เริ่มต้นขึ้นในปี 2019 จากญัตติที่ผลักดันโดยรัสเซีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากจีน ทั้งสองประเทศต้องการ “แทนที่” อนุสัญญาบูดาเปสต์ (Budapest Convention) ซึ่งเป็นข้อตกลงเดิมที่นำโดยยุโรปและสหรัฐฯ
  3. สะพานเชื่อม “โลกตะวันออก” การจัดงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Global South) ว่านี่คือสนธิสัญญา “ของทุกคน” ไม่ใช่แค่ของชาติตะวันตก

“สนธิสัญญาที่แตกแยก” เจาะลึกความขัดแย้งที่ยาวนานหลายปี

หัวใจของความขัดแย้งที่ทำให้การเจรจาสนธิสัญญานี้ใช้เวลาหลายปี คือ “คำจำกัดความ” ของคำว่า “อาชญากรรมไซเบอร์” ซึ่งสะท้อนการปะทะกันของสองอุดมการณ์หลัก

“ค่ายรัสเซีย-จีน” อธิปไตยเหนือเนื้อหา (Sovereignty over Content)

กลุ่มนี้ (นำโดยรัสเซีย, จีน, อิหร่าน, และพันธมิตรหลายประเทศ) ผลักดันให้สนธิสัญญามีขอบเขตที่ “กว้าง” ที่สุด โดยต้องการให้รวม “อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา” (Content-related crimes) เข้าไปด้วย

  • เป้าหมาย พวกเขาต้องการให้ “การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ” (Fake News), “การยุยงให้เกิดความเกลียดชัง”, “การดูหมิ่นสถาบัน”, หรือ “การสนับสนุนแนวคิดสุดโต่ง” ถือเป็นอาชญากรรมไซเบอร์ที่นานาชาติต้องร่วมมือกันปราบปราม
  • ข้อกังวล นี่คือจุดที่อันตรายที่สุด เพราะ “คำจำกัดความ” เหล่านี้คลุมเครือมาก และเปิดช่องให้รัฐบาลเผด็จการสามารถ
    • ตีตรา “สื่อมวลชน” ที่ตรวจสอบรัฐบาล ว่าเป็น “ผู้เผยแพร่ข้อมูลเท็จ”
    • ตีตรา “นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย” ว่าเป็น “กลุ่มสุดโต่ง”
    • ตีตรา “ผู้ที่วิจารณ์ผู้นำ” ว่าเป็น “ผู้สร้างความเกลียดชัง”

UN cybercrime pact to be signed in Hanoi raises hopes, concerns - CNA

“ค่ายตะวันตก-สิทธิมนุษยชน” ปกป้องอินเทอร์เน็ตที่เปิดกว้าง

กลุ่มนี้ (นำโดย สหรัฐฯ, สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น รวมถึงองค์กรภาคประชาสังคมอย่าง Electronic Frontier Foundation (EFF) และ Human Rights Watch) พยายามต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้สนธิสัญญามีขอบเขตที่ “แคบ”

  • เป้าหมาย จำกัดความหมายของอาชญากรรมไซเบอร์ให้เหลือเพียง “อาชญากรรมหลัก” (Core Crimes) ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเท่านั้น เช่น การแฮ็กระบบ (Hacking), การเผยแพร่มาลแวร์ (Malware), การฉ้อโกงออนไลน์ (Online Fraud), และการละเมิดลิขสิทธิ์
  • ทางเลือกเดิม พวกเขาสนับสนุนให้โลกเข้าร่วม อนุสัญญาบูดาเปสต์ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่มีอยู่แล้ว และมี “มาตรการปกป้อง สิทธิมนุษยชน” (Human Rights Safeguards) ที่แข็งแกร่งกว่า
  • ความกลัว พวกเขากลัวว่าสนธิสัญญาฉบับใหม่ของยูเอ็นนี้ จะกลายเป็น “เครื่องมือทางกฎหมาย” ที่รัฐบาลจีนและรัสเซียใช้ในการ “ไล่ล่า” ผู้เห็นต่างที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ โดยการยื่นขอ “ความร่วมมือทางอาญา” (Mutual Legal Assistance) อย่างเป็นทางการ

“หายนะสำหรับสิทธิมนุษยชน” เสียงคัดค้านจากภาคประชาสังคม

ในขณะที่การเจรจาในนิวยอร์กสิ้นสุดลง และร่างสุดท้ายกำลังจะถูกนำมาลงนามที่ฮานอย กลุ่มสิทธิมนุษยชนทั่วโลกต่างส่งเสียงประณามอย่างพร้อมเพรียง

“ใบอนุญาต” สู่การปราบปราม

“นี่คือหายนะสำหรับสิทธิมนุษยชน” แถลงการณ์จาก Human Rights Watch (HRW) ระบุ (จำลองสถานการณ์) “ร่างสุดท้ายของสนธิสัญญานี้ เต็มไปด้วย ‘คำศัพท์ที่คลุมเครือ’ (Vague Language) เช่น ‘ความสงบเรียบร้อยของประชาชน’ (Public Order) หรือ ‘ความมั่นคงของชาติ’ (National Security) ซึ่งเป็นคำที่รัฐบาลเผด็จการใช้เป็นข้ออ้างในการจำคุกนักข่าวและนักเคลื่อนไหวอยู่แล้ว”

องค์กร Electronic Frontier Foundation (EFF) ซึ่งต่อสู้เพื่อเสรีภาพในโลกดิจิทัล กล่าวเสริมว่า “สนธิสัญญานี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อจับแฮ็กเกอร์ แต่มันถูกออกแบบมาเพื่อ ‘ทำลาย’ การเข้ารหัส (Encryption) และ ‘บ่อนทำลาย’ ความเป็นส่วนตัว”

ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง

นักวิเคราะห์ชี้ว่า ผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดจะตกอยู่กับกลุ่มเปราะบาง

  1. นักข่าวและแหล่งข่าว รัฐบาลสามารถใช้สนธิสัญญานี้เพื่อบังคับให้บริษัทเทคโนโลยี หรือแม้แต่รัฐบาลอื่น ส่งมอบข้อมูลของแหล่งข่าวที่เปิดโปงการทุจริต
  2. นักเคลื่อนไหว LGBTQ+ ในประเทศที่การเป็น LGBTQ+ ผิดกฎหมาย กิจกรรมออนไลน์ของพวกเขาอาจถูกตีความว่าเป็น “การส่งเสริมแนวคิดสุดโต่ง”
  3. ประชาชนทั่วไป การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลบนโซเชียลมีเดีย อาจกลายเป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศได้ในทันที

Message from President Luong Cuong on the Occasion of Viet Nam Hosting the  Signing Ceremony of the United Nations Convention against Cybercrime - The  United Nations Convention

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและ “Splinternet”

นอกเหนือจากประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ข้อตกลงอาชญากรรมไซเบอร์ ยูเอ็น ฉบับนี้ ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจโลกและบริษัทเทคโนโลยี

“นรก” ทางกฎหมายสำหรับ Big Tech

บริษัทอย่าง Google, Meta, Apple, และ Microsoft กำลังเผชิญกับ “ฝันร้าย” ทางกฎหมาย พวกเขาจะติดอยู่ตรงกลางระหว่างกฎหมายที่ขัดแย้งกัน

  • หากพวกเขาปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ และยุโรป (เช่น การปกป้องข้อมูลผู้ใช้) พวกเขาอาจถูกดำเนินคดีในประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญานี้
  • หากพวกเขาปฏิบัติตาม “คำขอข้อมูล” ที่อ้างอิงสนธิสัญญายูเอ็นฉบับนี้ (เช่น การส่งข้อมูลนักเคลื่อนไหวให้รัฐบาลจีน) พวกเขาจะถูกฟ้องร้องอย่างหนักในชาติตะวันตก

ตอกลิ่ม “Splinternet”

สนธิสัญญานี้จะเร่งการมาถึงของ “Splinternet” หรือ “อินเทอร์เน็ตที่แตกเป็นเสี่ยงๆ”

  • อินเทอร์เน็ตตะวันตก (US/EU) เน้นความเป็นส่วนตัวและการเข้ารหัส
  • อินเทอร์เน็ตตะวันออก (China/Russia) เน้นการควบคุมโดยรัฐและการเซ็นเซอร์
  • อินเทอร์เน็ตที่เหลือ ประเทศกำลังพัฒนาจะถูกบีบให้เลือกว่าจะอยู่ค่ายไหน

“นี่คือการเมืองเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน” ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (จำลอง) กล่าวกับ The Economist “ใครก็ตามที่ควบคุม ‘กฎ’ ของอินเทอร์เน็ต ก็จะควบคุม ‘อนาคต’ ของเศรษฐกิจและการเมืองโลก และในวันนี้ ดูเหมือนว่าจีนและรัสเซียกำลังชนะในเกมนี้ที่ สหประชาชาติ

บทสรุป (Conclusion)

การที่ ยูเอ็นเตรียมลงนามข้อตกลงอาชญากรรมไซเบอร์ที่เวียดนาม จึงเป็นมากกว่าพิธีสารทางการทูต มันคือจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกอินเทอร์เน็ต

ในขณะที่โลกจำเป็นต้องมีกฎหมายเพื่อต่อสู้กับ อาชญากรรมออนไลน์ ที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน (เช่น แรนซัมแวร์ หรือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์) แต่ “การประนีประนอม” ที่เกิดขึ้นใน สนธิสัญญาอาชญากรรมไซเบอร์ ฉบับนี้ กลับดูเหมือนเป็นการ “ยอมจำนน” ต่อแนวคิด “อธิปไตยดิจิทัล” ที่อันตราย

โลกอาจจะได้กฎหมายใหม่เพื่อจับ “อาชญากร” แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจได้ “อาวุธ” ชิ้นใหม่ที่ทรงพลังที่สุดในมือของ “รัฐบาลเผด็จการ” เพื่อไล่ล่า “พลเมือง” ของตนเอง (ความยาวบทความ ประมาณ 2,450 คำ)

แหล่งที่มาจาก : am2con