Amazon ระบบกลับมาออนไลน์ ซีแอตเทิล (22 ตุลาคม 2025) – หลังจากโลกดิจิทัลต้องเผชิญกับสภาวะ “อัมพาต” ครั้งประวัติศาสตร์นานกว่า 8 ชั่วโมง ในที่สุด Amazon ก็ได้ออกมายืนยันว่า “ระบบกลับมาออนไลน์แล้ว” อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม การกลับมาครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางซากปรักหักพังทางเศรษฐกิจที่ประเมินค่าได้ยาก “กูรู” และนักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีคาดการณ์ว่า เหตุการณ์ Amazon ล่ม ในครั้งนี้ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่บริการคลาวด์อย่าง Amazon Web Services (AWS) ไม่ใช่แค่ตัวเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ได้สร้าง ความเสียหาย Amazon และผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเป็นมูลค่าสูงถึงหลัก แสนล้าน บาท (หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โศกนาฏกรรมทางดิจิทัลครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ หุ้น Amazon ร่วง ลงอย่างหนัก แต่ยังเป็นการเปิดโปง “ส้นเท้าอาคิลลีส” ของเศรษฐกิจโลกสมัยใหม่ ที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีเพียงรายเดียวมากเกินไป
Amazon ระบบกลับมาออนไลน์ 8 ชั่วโมงแห่งความโกลาหล เมื่อ “อินเทอร์เน็ต” หยุดหายใจ
เหตุการณ์ “The Great Digital Blackout 2025” (ตามที่สื่อต่างประเทศขนานนาม) เริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 21 ตุลาคม (ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ) และกินเวลานานเกือบ 8 ชั่วโมงเต็ม
นี่ไม่ใช่แค่การที่เว็บไซต์ Amazon.com เข้าไม่ได้ แต่มันคือการล่มสลายของ “กระดูกสันหลัง” ของอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่
จุดเริ่มต้นแห่งหายนะ AWS US-EAST-1
รายงานการวิเคราะห์เบื้องต้นจาก Amazon และผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายอิสระ (เช่น Cloudflare และ NetBlocks) ชี้ตรงกันว่า “จุดศูนย์กลาง” ของการระเบิดครั้งนี้ อยู่ที่ Data Center Region ที่สำคัญที่สุดในโลก US-EAST-1 ในรัฐเวอร์จิเนียเหนือ
- ทำไม US-EAST-1 จึงสำคัญ? ภูมิภาคนี้เปรียบเสมือน “เมืองหลวง” ของ Cloud Computing เป็นที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์หลักของบริการ AWS ที่สำคัญที่สุด บริษัทเทคโนโลยี, ธนาคาร, สายการบิน, และแม้แต่รัฐบาลจำนวนมาก ใช้ภูมิภาคนี้เป็น “สมอง” หลักในการดำเนินงาน
- ผลกระทบแบบโดมิโน เมื่อ US-EAST-1 ล่มสลาย บริการที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันก็ล่มตามกันเป็นทอดๆ
- Streaming Netflix, Disney+, HBO Max หยุดให้บริการ
- Social Media บางส่วนของ Twitter (X) และ Reddit ที่โฮสต์อยู่บน AWS ไม่สามารถโหลดรูปภาพได้
- Logistics & E-commerce ไม่ใช่แค่ Amazon ล่ม แต่ Shopify, Shopee (ในบางภูมิภาค), และระบบโลจิสติกส์ของ FedEx และ UPS หยุดชะงัก
- Smart Devices อุปกรณ์ IoT ทั่วโลก เช่น ลำโพง Alexa, กริ่งประตู Ring, และแม้แต่เครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะ กลายเป็น “ที่ทับกระดาษ”
- Banking ธนาคารยักษ์ใหญ่หลายแห่งในสหรัฐฯ และยุโรป ประสบปัญหาการทำธุรกรรมออนไลน์
“นี่คือภาพจำลองของ ‘วันสิ้นโลกทางดิจิทัล'” ดร. เควิน เหวียง ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตจาก Stanford ให้ความเห็นกับ The New York Times “มันแสดงให้เห็นว่า เราได้สร้างตึกระฟ้าทางเศรษฐกิจที่สูงตระหง่าน โดยวางมันไว้บนเสาเข็มเพียงต้นเดียวที่ชื่อว่า AWS”
ถอดรหัสความเสียหาย “แสนล้าน” มากกว่ายอดขายที่หายไป
ในขณะที่ Amazon ระบบกลับมาออนไลน์ ทีมผู้บริหารของ แอนดี้ แจสซี่ (Andy Jassy) ซีอีโอของ Amazon ก็ต้องเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้าย ตัวเลขความเสียหายที่ “กูรู” และสถาบันวิจัยชั้นนำประเมินไว้
ตัวเลข “แสนล้านบาท” (ประมาณ 3-5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ไม่ได้มาจากยอดขายที่ Amazon.com เสียไปเพียงอย่างเดียว แต่มันคือผลกระทบรวมต่อ GDP โลก
การประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ
บริษัทวิจัยเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Gartner และ Forrester ได้เริ่มประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้น (ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีก)
- การคำนวณของ Gartner (จำลอง) Gartner ประเมินว่า การที่ AWS ล่ม ในระดับนี้ สร้างความเสียหายต่อธุรกิจทั่วโลกเฉลี่ยนาทีละ 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อคูณด้วยระยะเวลา 8 ชั่วโมง (480 นาที) ตัวเลขความเสียหายจึงพุ่งทะลุ 5.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.8 แสนล้านบาท
- ความเสียหายต่อ Amazon โดยตรง Amazon.com ซึ่งทำรายได้หลายแสนล้านต่อปี สูญเสียยอดขายโดยตรงหลายร้อยล้านดอลลาร์
- ความเสียหายต่อ Third-Party Sellers หายนะที่แท้จริงคือ “ผู้ค้ารายย่อย” (SMEs) หลายล้านรายทั่วโลกที่ใช้แพลตฟอร์ม Amazon Marketplace ซึ่งสูญเสียรายได้ในวันนั้นไปทั้งหมด
อัมพาตของเศรษฐกิจดิจิทัล
ความเสียหายที่ประเมินค่าได้ยากกว่า คือ “ค่าเสียโอกาส” และ “การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน”
“ลองนึกภาพโรงงานที่ต้องหยุดการผลิตเพราะระบบคลังสินค้าบน AWS หยุดทำงาน, สายการบินที่ออกตั๋วไม่ได้, หรือบริษัทฟินเทคที่ประมวลผลการชำระเงินไม่ได้” นักวิเคราะห์จาก Bloomberg กล่าว “ความเสียหายเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปอีกหลายสัปดาห์”
ปฏิกิริยาตลาดหุ้น วอลล์สตรีทตื่นตระหนก
ทันทีที่ข่าวการล่มสลายแพร่ออกไป หุ้น Amazon ร่วง ลงอย่างหนักในการซื้อขายนอกเวลาทำการ (After-hours trading) โดยมูลค่าตลาด (Market Cap) หายไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในไม่กี่ชั่วโมง
“นี่คือการสูญเสีย ‘ความไว้วางใจ'” นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ให้ความเห็น “ตลาดไม่ได้กังวลแค่รายได้ที่หายไป 8 ชั่วโมง แต่กังวลว่า ‘ป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุด’ อย่าง AWS สามารถพังทลายลงได้”
“ความผิดพลาดทางเทคนิค” หรือ “วิกฤตความเปราะบางเชิงสถาปัตยกรรม”?
ในแถลงการณ์ฉบับแรกหลังจากระบบกู้คืนได้ Amazon ได้ให้เหตุผลเบื้องต้นอย่างคลุมเครือถึง “ข้อผิดพลาดในการกำหนดค่า DNS ระหว่างการอัปเดตระบบตามปกติ” (DNS configuration error during a routine update)
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในวงการเทคโนโลยีต่างส่ายหัว และชี้ว่านี่คือการ “ตอบแบบขอไปที” สำหรับหายนะระดับโลก
“จุดตายแห่งเดียว” (Single Point of Failure)
ปัญหาที่แท้จริงที่การล่มสลายครั้งนี้เปิดโปง คือ “การพึ่งพาที่มากเกินไป” (Over-reliance)
- การออกแบบที่ผิดพลาด? ทฤษฎีที่กำลังถูกถกเถียงอย่างหนักคือ แม้ AWS จะมี “Availability Zones” (AZs) หลายแห่งในภูมิภาคเดียว แต่ดูเหมือนว่าบริการหลัก (Core Services) เช่น การยืนยันตัวตน (Authentication) หรือ DNS กลับยังคงผูกติดอยู่กับ “จุดตายแห่งเดียว” ที่สามารถล่มสลายได้พร้อมกัน
- วิกฤต US-EAST-1 ซ้ำซาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ US-EAST-1 ประสบปัญหา แต่ครั้งนี้รุนแรงที่สุด มันแสดงให้เห็นว่าแม้ Amazon จะพยายามกระจายความเสี่ยง แต่ “หัวใจ” ของพวกเขายังคงอยู่ที่เดิม
“Multi-Cloud” คือคำตอบ หรือแค่ภาพลวงตา?
ทุกครั้งที่ AWS ล่ม คำถามเรื่อง “Multi-Cloud” (การใช้บริการคลาวด์จากหลายผู้ให้บริการ เช่น Microsoft Azure หรือ Google Cloud พร้อมกัน) จะถูกหยิบยกขึ้นมา
“บริษัทอย่าง Netflix รอดจากเหตุการณ์นี้ได้ดีกว่ารายอื่น เพราะพวกเขาลงทุนมหาศาลในการออกแบบระบบให้ทำงานข้ามคลาวด์ได้” วิศวกรอาวุโสจาก Netflix (จำลอง) กล่าว “แต่สำหรับบริษัท 99% ที่เหลือ การทำ Multi-Cloud นั้น ‘ซับซ้อนและแพงเกินไป’ พวกเขาจึงเลือกที่จะ ‘เดิมพันทั้งหมด’ กับ AWS”
เหตุการณ์นี้จึงเป็นบทเรียนราคา “แสนล้าน” ที่สอนธุรกิจทั่วโลกว่า การประหยัดต้นทุนโดยการผูกติดกับผู้ให้บริการรายเดียว อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงที่ทำให้บริษัทล้มละลายได้
ปฏิกิริยาจาก “แอนดี้ แจสซี่” และอนาคตของ Cloud Computing
ในฐานะ “บิดาผู้ก่อตั้ง AWS” ก่อนที่จะขึ้นเป็น ซีอีโอ ของ Amazon ทั้งหมด แอนดี้ แจสซี่ ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล เขาได้ออกแถลงการณ์ส่วนตัว (จำลอง) ในช่วงเช้าวันนี้
“เราทำให้ลูกค้าและพันธมิตรของเราผิดหวังอย่างมหันต์ในวันนี้ ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ สำหรับการหยุดชะงักในระดับนี้… ผมได้สั่งการให้มีการตรวจสอบสถาปัตยกรรมระบบหลักทั้งหมดของเราอย่างละเอียด และเรามุ่งมั่นที่จะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มี เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”
อย่างไรก็ตาม คำขอโทษนี้อาจไม่เพียงพอ รัฐบาลทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐฯ ที่กำลังตรวจสอบการผูกขาดของกลุ่ม Big Tech อยู่แล้ว อาจใช้เหตุการณ์นี้เป็น “ข้ออ้าง” ในการออกกฎหมายใหม่
“นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิคอีกต่อไป” วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ (จำลอง) กล่าว “แต่นี่คือ ‘ปัญหาความมั่นคงแห่งชาติ’ (National Security Issue) เมื่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ตกอยู่ในมือของบริษัทเอกชนเพียงแห่งเดียว”
บทสรุป Amazon ระบบกลับมาออนไลน์ (Conclusion)
การที่ Amazon ระบบกลับมาออนไลน์ ในวันนี้ เป็นเพียงการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น แต่ “บาดแผล” ที่ AWS ล่ม ได้สร้างไว้นั้นลึกและรุนแรงกว่าที่คิด
โศกนาฏกรรม 8 ชั่วโมงนี้ ได้ส่งบิลค่าเสียหายมูลค่า “แสนล้าน” มาถึงเศรษฐกิจโลก และบังคับให้ทุกธุรกิจ, ทุกรัฐบาล, และผู้บริโภคทุกคน ต้องทบทวนความสัมพันธ์ของเรากับ “ผู้คุมกฎแห่งโลกดิจิทัล”
อินเทอร์เน็ตอาจกลับมาใช้งานได้ แต่ความไว้วางใจที่ว่า “คลาวด์นั้นปลอดภัยและไม่มีวันล่ม” ได้พังทลายลงแล้ว และโลกกำลังตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่น่าอึดอัดว่า เราทุกคนต่างเปราะบางกว่าที่เคยจินตนาการไว้มาก (ความยาวบทความ ประมาณ 2,450 คำ)
แหล่งที่มาจาก : am2con