เกาหลีใต้เล็งใช้ “อาวุธการเงิน” คว่ำบาตรเครือข่ายอาชญากรรมกัมพูชา หลังเหยื่อค้ามนุษย์-สแกมเมอร์พุ่ง ท้าทายเสถียรภาพอาเซียน

เกาหลีใต้ คว่ำบาตรทางการเงิน กัมพูชา

เกาหลีใต้ คว่ำบาตรทางการเงิน กัมพูชา กรุงโซล (22 ตุลาคม 2025) – รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังพิจารณาใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือการใช้ “เกาหลีใต้ คว่ำบาตรทางการเงิน กัมพูชา” โดยมุ่งเป้าไปที่บุคคลและนิติบุคคลที่เชื่อมโยงกับ เครือข่ายอาชญากรรมในกัมพูชา แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกาหลี (KNPA) เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากการพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตระหนกของจำนวน เหยื่อชาวเกาหลีใต้ ที่ถูกหลอกลวง ตกเป็นเหยื่อ การค้ามนุษย์ และถูกบังคับให้ทำงานใน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ กัมพูชา และ “เมืองสแกม” (Scam Cities) ต่างๆ นี่คือการยกระดับครั้งสำคัญ จากเดิมที่เป็นเพียงความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย ไปสู่การใช้ “สงครามเศรษฐกิจ” (Economic Warfare) เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงขององค์กร อาชญากรรมข้ามชาติ ที่กำลังกัดกร่อนความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Korea mulls financial sanctions to combat Cambodia crime networks - The  Korea Times

เกาหลีใต้ คว่ำบาตรทางการเงิน กัมพูชา ฟางเส้นสุดท้าย เมื่อ “เหยื่อชาวเกาหลีใต้” ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือวิกฤตความมั่นคง

การตัดสินใจพิจารณามาตรการคว่ำบาตรทางการเงินของรัฐบาลประธานาธิบดียุน ซ็อก-ยอล ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เป็นผลลัพธ์โดยตรงจากวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่ส่งผลกระทบต่อพลเมืองเกาหลีใต้โดยตรง

จาก “งานในฝัน” สู่ “ทาสยุคใหม่”

ในช่วง 18-24 เดือนที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติเกาหลี (KNPA) ได้รับรายงานคดีอาชญากรรมออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับกัมพูชาเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้น คือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอาชญากรรม

  • เหยื่อที่ถูกหลอกลวง (Scammed Victims) ในระยะแรก เหยื่อคือประชาชนในเกาหลีใต้ที่สูญเสียเงินออมมหาศาลให้กับ “การเชือดหมู” (Pig Butchering) และสแกมคริปโตเคอเรนซี ที่ดำเนินการจากฐานในกัมพูชา
  • เหยื่อที่ถูกค้ามนุษย์ (Trafficked Victims) สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างมาก เมื่อเครือข่ายเหล่านี้เริ่ม “นำเข้า” แรงงานอย่างผิดกฎหมาย โดยมุ่งเป้าไปที่คนหนุ่มสาวชาวเกาหลีใต้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที พวกเขาถูกล่อลวงด้วยข้อเสนองานที่มีรายได้สูงในบริษัทเทคโนโลยีหรือเกมออนไลน์ในกัมพูชา
  • นรกใน “เมืองสแกม” เมื่อเหยื่อเดินทางมาถึง (ส่วนใหญ่ใน สีหนุวิลล์ หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน) พวกเขาจะถูกยึดหนังสือเดินทาง ถูกกักขังในอาคารที่มีการป้องกันแน่นหนา ถูกบังคับให้ทำงานเป็นสแกมเมอร์เพื่อหลอกลวงคนชาติเดียวกัน หากไม่ทำตามเป้า จะถูกทุบตี ทำร้ายร่างกาย หรือแม้กระทั่งถูก “ขาย” ต่อไปยังเครือข่ายอื่น

รายงานจาก AP และสื่อท้องถิ่นเกาหลีหลายฉบับ ได้เผยแพร่คำให้การที่น่าสลดใจของเหยื่อที่หลบหนีออกมาได้ ซึ่งสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อรัฐบาลโซลให้ “ทำอะไรสักอย่าง” ที่มากกว่าการส่งตำรวจไปประสานงาน

“นี่ไม่ใช่แค่แก๊งต้มตุ๋นอีกต่อไป” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ KNPA กล่าวกับสำนักข่าวยอนฮัป (Yonhap) “นี่คือองค์กรอาชญากรรมที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ปฏิบัติการ การค้ามนุษย์ และบ่อนทำลายความปลอดภัยของพลเมืองเรา นี่คือภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ”

“การคว่ำบาตรทางการเงิน” คืออะไร? และจะทำงานอย่างไร

ความเคลื่อนไหวที่ เกาหลีใต้พิจารณาคว่ำบาตรทางการเงิน กัมพูชา ถือเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่ซับซ้อนและรุนแรง โดยเป็นการยืมแนวคิดมาจาก “กฎหมายแมกนิตสกี” (Magnitsky Act) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการคว่ำบาตรแบบ “กำหนดเป้าหมาย” (Targeted Sanctions)

ไม่ใช่รัฐ แต่คือ “เครือข่าย”

สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ รัฐบาลเกาหลีใต้ไม่ได้มีเจตนาคว่ำบาตร “รัฐบาลกัมพูชา” ทั้งประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ ความสัมพันธ์ เกาหลีใต้-กัมพูชา ที่ดีมายาวนาน (เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในผู้บริจาครายใหญ่และนักลงทุนสำคัญของกัมพูชา)

เป้าหมายคือ “เครือข่าย” ที่เฉพาะเจาะจง

  1. ตัวการใหญ่ (Kingpins) ผู้นำแก๊งชาวจีน, มาเลเซีย, หรือไต้หวัน ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง “เมืองสแกม” เหล่านี้
  2. เจ้าของพื้นที่และผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น บุคคลในกัมพูชาที่ให้การสนับสนุน ให้ที่พักพิง หรือได้รับผลประโยชน์ทางการเงินจากการอนุญาตให้เครือข่ายเหล่านี้ดำเนินการในพื้นที่ของตน
  3. บริษัทบังหน้า (Front Companies) ธุรกิจ “ถูกกฎหมาย” เช่น กาสิโน, โรงแรม, หรือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่ถูกใช้เป็นฉากบังหน้าสำหรับการปฏิบัติการสแกมและ การฟอกเงิน
  4. ผู้ดำเนินการทางการเงิน บุคคลหรือบริษัทที่อำนวยความสะดวกในการโอนเงินที่ได้จากการกระทำผิด โดยเฉพาะผ่านระบบธนาคารใต้ดินและคริปโตเคอเรนซี

South Korea Repatriates 64 Voice Phishing Suspects from Cambodia

“ตัดท่อน้ำเลี้ยง” สู่ระบบเศรษฐกิจเกาหลี

หากมีการบังคับใช้ มาตรการคว่ำบาตรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เหล่านี้ จะส่งผลกระทบดังนี้

  • การอายัดทรัพย์สิน บุคคลหรือนิติบุคคลในบัญชีดำ จะถูกอายัดทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ในสถาบันการเงินของเกาหลีใต้
  • การห้ามทำธุรกรรม บริษัทเกาหลีใต้ทั้งหมด (รวมถึงยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung, Hyundai, หรือธนาคารพาณิชย์) จะถูก “ห้าม” ทำธุรกิจหรือธุรกรรมทางการเงินใดๆ กับเป้าหมายที่ถูกคว่ำบาตร
  • การห้ามเดินทาง บุคคลในบัญชีดำจะถูกห้ามเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้

เป้าหมายคือการตัด “เครือข่ายอาชญากรรมในกัมพูชา” เหล่านี้ออกจากระบบการเงินโลกที่ถูกกฎหมาย ซึ่งเกาหลีใต้เป็นส่วนสำคัญ และทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนของพวกเขายากลำบากขึ้นอย่างมหาศาล

ภูมิรัฐศาสตร์ของ “อาชญากรรมข้ามชาติ” ทำไมต้องเป็นกัมพูชา?

การที่ เครือข่ายอาชญากรรมในกัมพูชา เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นผลพวงโดยตรงจากแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค โดยเฉพาะจากจีน

  • การปราบปรามในจีน เมื่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ปราบปรามการพนันออนไลน์และองค์กรอาชญากรรมในประเทศอย่างหนัก เครือข่ายเหล่านี้ (ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับกลุ่มมาเฟียจีน หรือ Triads) ได้ย้ายฐานปฏิบัติการมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • “สวรรค์” ในสีหนุวิลล์ เมือง สีหนุวิลล์ (Sihanoukville) ของกัมพูชา ซึ่งเคยเป็นเมืองตากอากาศที่เงียบสงบ ถูกเปลี่ยนให้เป็น “เมืองหลวงกาสิโน” ด้วยเงินทุนจากจีนอย่างรวดเร็ว เมื่อจีนสั่งห้ามการพนันออนไลน์ในปี 2019 อาคารกาสิโนที่สร้างเสร็จหรือเกือบเสร็จหลายแห่ง กลายเป็น “เมืองร้าง”
  • การกลายพันธุ์สู่ “เมืองสแกม” เครือข่ายอาชญากรรมได้เข้ายึดพื้นที่เหล่านี้ และเปลี่ยนมันเป็น “ฐานปฏิบัติการสแกม” ที่มีการป้องกันแน่นหนา บังคับใช้แรงงานทาสจากทั่วเอเชีย (รวมถึงไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และล่าสุดคือเกาหลีใต้) เพื่อทำการหลอกลวงออนไลน์
  • การย้ายถิ่นของอาชญากรรม ล่าสุด เมื่อรัฐบาลกัมพูชา (ภายใต้การนำของนายกฯ ฮุน มาเนต) เริ่มถูกกดดันจากนานาชาติและเริ่มปฏิบัติการกวาดล้าง (แม้จะถูกวิจารณ์ว่าเชื่องช้า) เครือข่ายเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น โดยย้ายฐานไปยังพื้นที่ที่การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอกว่า เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน หรือแม้แต่ย้ายไปยังเมียนมาร์และลาว

การตัดสินใจของเกาหลีใต้จึงเป็นการส่งสัญญาณว่า พวกเขาจะไม่ยอมให้ปัญหา “ล้น” ข้ามพรมแดนมาสร้างความเสียหายให้พลเมืองของตนอีกต่อไป

ความท้าทายและความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อน โซลเดิมพันสูง

การใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการเงินถือเป็น “ทางเลือกนิวเคลียร์” ทางการทูตเศรษฐกิจ และมีความเสี่ยงสูง

ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ เกาหลีใต้-กัมพูชา

รัฐบาลพนมเปญอาจมองว่าการกระทำฝ่ายเดียวของโซลเป็นการ “ก้าวก่ายกิจการภายใน” และ “ไม่ไว้วางใจ” ความพยายามของรัฐบาลกัมพูชาในการแก้ปัญหา

“รัฐบาลกัมพูชาชุดใหม่ของนายกฯ ฮุน มาเนต กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก” นักวิเคราะห์จากสถาบันกิจการต่างประเทศและความมั่นคงแห่งชาติ (IFANS) ในกรุงโซล กล่าวกับ The Economist “การคว่ำบาตรจากเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ อาจถูกมองว่าเป็นการ ‘ตบหน้า’ และอาจสร้างความตึงเครียดทางการทูตอย่างรุนแรง”

64 Repatriated Koreans Suspected in Voice Phishing, Romance Scams

ประสิทธิผลที่ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม

เกาหลีใต้ คว่ำบาตรทางการเงิน กัมพูชา อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือประสิทธิภาพของตัวมาตรการเอง

  • การฟอกเงินยุคใหม่ เครือข่ายเหล่านี้เชี่ยวชาญในการใช้ “สกุลเงินดิจิทัล” (โดยเฉพาะ USDT หรือ Tether) และระบบธนาคารเงา (Shadow Banking) ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของระบบธนาคารเกาหลีใต้
  • การระบุตัวตน การระบุ “ปลาตัวจริง” (Kingpins) ที่อยู่เบื้องหลังบริษัทบังหน้าที่ซับซ้อนเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง
  • ผลกระทบแบบลูกโป่ง (Balloon Effect) การบีบอัดในกัมพูชา อาจทำให้เครือข่ายเหล่านี้ย้ายฐานไปยังประเทศอื่นในภูมิภาค หรือแม้แต่แอฟริกา ซึ่งจะทำให้ปัญหายิ่งซับซ้อนขึ้น

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเกาหลีใต้ดูเหมือนจะยอมรับความเสี่ยงนี้ “เราไม่สามารถนิ่งเฉยในขณะที่พลเมืองของเราถูกลักพาตัวและทรมานได้” แหล่งข่าวในรัฐบาลกล่าวย้ำ “หากความร่วมมือแบบเดิมไม่ได้ผล เราก็ต้องเปลี่ยนไปใช้เครื่องมือที่รุนแรงขึ้น”

บทสรุป (Conclusion)

การที่ เกาหลีใต้พิจารณาคว่ำบาตรทางการเงิน กัมพูชา เพื่อต่อสู้กับ เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในสงครามต่อต้าน “Scamdemic” ที่กำลังระบาดไปทั่วโลก มันคือการประกาศว่า อาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ใช่แค่ปัญหาของตำรวจอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาระดับความมั่นคงแห่งชาติและเศรษฐกิจ

ในขณะที่ เหยื่อชาวเกาหลีใต้ และครอบครัวของพวกเขา รอคอยความยุติธรรม รัฐบาลในกรุงโซลกำลังเดิมพันครั้งใหญ่ว่า การใช้ “อาวุธการเงิน” จะสามารถตัดหัว “อสูรร้ายไฮดรา” แห่งโลกอาชญากรรมไซเบอร์ได้สำเร็จ หรือจะเป็นเพียงการสร้างความขัดแย้งทางการทูตครั้งใหม่ในใจกลางอาเซียน (ความยาวบทความ ประมาณ 2,200 คำ)

แหล่งที่มาจาก : am2con