ในขณะที่โลกตะวันตกกำลังเตรียมพร้อมสำหรับเทศกาลฮาโลวีน เมืองเทอร์รัสซา (Terrassa) ซึ่งเป็นเมืองสำคัญใกล้กับบาร์เซโลนา ในแคว้นกาตาลุญญา ประเทศสเปน ได้ออกมาตรการเชิงป้องกันที่สร้างความประหลาดใจและจุดประกายการถกเถียงในระดับสากล นั่นคือการ “ห้ามรับเลี้ยงแมวดำ” และแมวสีขาวเป็นการชั่วคราว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม จนถึง 10 พฤศจิกายน 2025 เหตุผลเบื้องหลังคำสั่งนี้ คือความกลัวที่หยั่งรากลึกว่า สัตว์เหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ทั้งในฐานะ “อุปกรณ์ประกอบฉาก” ชั่วคราว หรือที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้น คือการถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยใน “พิธีกรรมไสยศาสตร์” ที่เชื่อมโยงกับความมืดมิดของเทศกาล มาตรการนี้ แม้จะเกิดขึ้นในเมืองเดียว แต่ได้สะท้อนภาพความขัดแย้งที่ใหญ่กว่า นั่นคือการปะทะกันระหว่างความพยายามปกป้อง สวัสดิภาพสัตว์ ในศตวรรษที่ 21 กับ ความเชื่อโชคลาง โบราณที่ยังคงหลอกหลอนแมวสีดำมานานหลายศตวรรษ
เทอร์รัสซา สเปน เมื่อนโยบายสาธารณะเผชิญหน้ากับตำนานมืด
การตัดสินใจของสภาเมืองเทอร์รัสซา ซึ่งมีประชากรเกือบ 230,000 คน ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โนเอล ดูเก (Noel Duque) รองนายกเทศมนตรีและสภาชิกด้านสวัสดิภาพสัตว์ของเมืองเทอร์รัสซา ได้ชี้แจงต่อสื่อท้องถิ่นและสำนักข่าวระดับโลกอย่าง Agence France-Presse (AFP) และ BBC ว่า คำสั่งห้ามนี้เป็น “มาตรการป้องกัน” ที่จำเป็น
“เราสังเกตเห็นว่าในช่วงใกล้เทศกาลฮาโลวีน ความสนใจในการรับเลี้ยงแมวดำเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ” ดูเก กล่าวกับสถานีโทรทัศน์สเปน RTVE “สิ่งนี้ทำให้เกิดความกังวลว่า แมวเหล่านี้อาจถูกรับไปเพื่อ ‘วัตถุประสงค์ในพิธีกรรม’ หรือถูกมองว่าเป็นเพียง ‘ของตกแต่ง’ เพราะ ‘มันเท่ดี’ แล้วถูกทอดทิ้งในเดือนพฤศจิกายน”
เทศบาลเมืองเทอร์รัสซา ซึ่งดูแลแมวในเมืองประมาณ 9,800 ตัว และมีแมวดำ 12 ตัวที่รอการอุปการะในศูนย์พักพิงขณะนี้ ยืนยันว่า “ไม่สามารถเพิกเฉย” ต่อหัวข้อที่น่าสยดสยองนี้ได้ (a grim topic) แม้ว่าโฆษกของเมืองจะยอมรับกับ BBC ว่า ยังไม่มีการบันทึกเหตุการณ์การทารุณกรรมหรือการใช้ในพิธีกรรมที่เกิดขึ้นจริงในเมืองเทอร์รัสซา แต่การตัดสินใจนี้อิงตามคำเตือนจากกลุ่มพิทักษ์สัตว์หลายแห่ง และรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชนอื่น
มาตรการนี้จึงเป็นการดำเนินการบนพื้นฐานของ “ความกลัว” และ “ความเสี่ยง” มากกว่าหลักฐานทางสถิติที่ชัดเจนในพื้นที่ ซึ่งจุดชนวนคำถามสำคัญ นโยบายนี้เป็นการปกป้องที่จำเป็น หรือเป็นการตอกย้ำอคติที่มีต่อแมวดำให้รุนแรงขึ้น?
รากเหง้าแห่งความกลัว ถอดรหัสประวัติศาสตร์ “แมวดำ” จากเทพเจ้าสู่สัญลักษณ์ของปีศาจ
ความเชื่อมโยงระหว่าง แมวดำ ฮาโลวีน และ พิธีกรรมไสยศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มืดมนและสืบทอดกันมานับพันปี การทำความเข้าใจการ ห้ามรับเลี้ยงแมวดำ ในวันนี้ จำเป็นต้องย้อนกลับไปดูว่าแมวเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคร้ายได้อย่างไร
จากยุคอียิปต์โบราณสู่ยุคเซลติก
ในอียิปต์โบราณ แมว (รวมถึงแมวดำ) ได้รับการบูชาในฐานะเทพเจ้า โดยเฉพาะเทพีบาสเต็ต (Bastet) การทำร้ายแมวถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง อย่างไรก็ตาม เมื่ออิทธิพลของจักรวรรดิโรมันแผ่ขยาย และศาสนาคริสต์เริ่มเข้ามาแทนที่ความเชื่อเก่า สถานะของแมวก็เริ่มเปลี่ยนไป
จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นในยุโรปยุคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความเชื่อของชาวเซลติก (Celtic) ในไอร์แลนด์และสกอตแลนด์ เทศกาลโบราณ “ซาวิน” (Samhain) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของฮาโลวีน เป็นช่วงเวลาที่เชื่อกันว่าม่านกั้นระหว่างโลกของคนเป็นและคนตายบางที่สุด ตำนานเซลติกบางส่วนเชื่อว่า ผู้ที่เล่นกับมนต์ดำอาจถูกสาปให้กลายเป็นแมว และแมวดำที่มีพฤติกรรมลึกลับในยามค่ำคืน ก็เริ่มถูกมองด้วยความหวาดระแวง
ยุคกลาง การล่าแม่มดและการตีตรา “สหายของปีศาจ”
จุดตกต่ำที่สุดของแมวดำเกิดขึ้นในยุคกลาง (Middle Ages) ในช่วงศตวรรษที่ 13 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 ได้ออกสารตราพระสันตะปาปา “Vox in Rama” ในปี 1233 ซึ่งประณามลัทธินอกรีตในเยอรมนี และเชื่อมโยงแมวดำเข้ากับการบูชาซาตานอย่างชัดเจน โดยระบุว่าแมวดำเป็นร่างจำแลงของปีศาจ
การตีตรานี้เกิดขึ้นพร้อมกับการ “ล่าแม่มด” ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วทั้ง สเปน ฝรั่งเศส และยุโรป ผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด มักถูกกล่าวหาว่ามี “แฟมิเลียร์” (Familiar) หรือสัตว์รับใช้ที่เป็นภูตผี ซึ่งส่วนใหญ่มักปรากฏในรูปของแมวดำ ความเชื่อนี้ฝังรากลึกว่าแม่มดสามารถแปลงร่างเป็นแมวดำได้ หรือแมวดำคือปีศาจที่ถูกส่งมาโดยซาตานเพื่อช่วยเหลือแม่มด
ผลลัพธ์คือการสังหารหมู่แมวดำทั่วยุโรป และน่าแปลกที่นักประวัติศาสตร์บางคนตั้งข้อสังเกตว่า การลดลงอย่างรวดเร็วของประชากรแมว ซึ่งเป็นผู้ล่าหนูโดยธรรมชาติ อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กาฬโรค (ซึ่งแพร่กระจายโดยหมัดหนู) ระบาดรุนแรงยิ่งขึ้นในศตวรรษที่ 14
การอพยพสู่โลกใหม่และความเชื่อที่ฝังแน่น
เมื่อกลุ่มผู้แสวงบุญพิวริตัน (Puritan Pilgrims) เดินทางไปยังอเมริกา พวกเขานำความเชื่อโชคลางและความหวาดกลัวเรื่องไสยศาสตร์ติดตัวไปด้วย ในอาณานิคมพลีมัธ การไม่ไว้วางใจสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับแม่มดและมนต์ดำนั้นรุนแรงมาก แมวดำจึงถูกประหัตประหารไปพร้อม ๆ กับการพิจารณาคดีแม่มดที่ซาเลม (Salem) แม้ว่าความคลั่งไคล้การล่าแม่มดจะจางหายไป แต่ภาพจำของ “แมวดำคู่กับแม่มด” ก็ได้ฝังแน่นในวัฒนธรรมป๊อปของอเมริกา กลายเป็นสัญลักษณ์คลาสสิกของ เทศกาลฮาโลวีน ที่เราเห็นในของประดับตกแต่งทุกวันนี้
ไม่ใช่แค่ฮาโลวีน “Black Cat Syndrome” วิกฤตเงียบในศูนย์พักพิงทั่วโลก
แม้ว่าการ ห้ามรับเลี้ยงแมวดำ ใน สเปน จะเน้นไปที่ความเสี่ยงช่วงฮาโลวีน แต่กลุ่มพิทักษ์สัตว์ทั่วโลกชี้ว่า นี่เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาที่ใหญ่กว่าและเกิดขึ้นตลอดทั้งปี นั่นคือ “ซินโดรมแมวดำ” (Black Cat Syndrome – BCS)
“Black Cat Syndrome” เป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับการยอมรับในกลุ่ม ศูนย์พักพิงสัตว์ ทั่วโลกว่า แมวสีดำ (และสุนัขสีดำ) มีโอกาสถูกรับไปเลี้ยงน้อยที่สุด และมีอัตราการการุณยฆาต (Euthanasia) สูงที่สุด เมื่อเทียบกับสัตว์สีอื่น
สถิติที่น่าตกใจเบื้องหลังอคติ
แม้ว่าการพิสูจน์ทางสถิติที่ชัดเจนจะเป็นเรื่องยากเนื่องจากระบบการบันทึกข้อมูลของศูนย์พักพิงแต่ละแห่ง แต่การศึกษาจำนวนมากได้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลนี้
- การศึกษาในวารสาร Animals การศึกษาหนึ่งที่โดดเด่นซึ่งตีพิมพ์ในปี 2020 ได้วิเคราะห์ข้อมูลแมวเกือบ 8,000 ตัวในศูนย์พักพิงของรัฐในเคนตักกี้ สหรัฐอเมริกา พบว่า แมวดำมีอัตราการการุณยฆาตสูงที่สุด (74.6%) และมีอัตราการรับเลี้ยงต่ำที่สุด (10%) เมื่อเทียบกับแมวสีอื่น
- ระยะเวลารอคอย รายงานจากองค์กรพิทักษ์สัตว์หลายแห่ง เช่น ASPCA และ RSPCA (ในสหราชอาณาจักร) ระบุตรงกันว่า แมวดำใช้เวลารอคอยบ้านใหม่ในศูนย์พักพิงนานกว่าแมวสีอ่อนโดยเฉลี่ย
- การเป็นตัวแทนที่มากเกินไป แมวดำมักมีสัดส่วนที่สูงกว่าปกติในประชากรแมวในศูนย์พักพิง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยีนขนสีดำเป็นยีนเด่น แต่ก็สะท้อนถึงการขาดความต้องการในตลาดอุปการะ
ทำไมแมวดำถึงถูกมองข้าม?
ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมสัตว์และเจ้าหน้าที่ศูนย์พักพิงชี้ไปที่ปัจจัยหลายประการที่ประกอบกันเป็น “ซินโดรมแมวดำ”
- ความเชื่อโชคลางที่ยังหลงเหลือ ดังที่กล่าวไปแล้ว แม้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะไม่เชื่อเรื่องแม่มด แต่ “อคติโดยไม่รู้ตัว” (Unconscious Bias) ที่เชื่อมโยงสีดำกับความโชคร้ายหรือความชั่วร้ายยังคงมีอยู่
- ปัญหาด้านการถ่ายภาพ ในยุคที่การรับเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่เริ่มต้นทางออนไลน์ แมวดำมักจะ “ถ่ายรูปไม่ขึ้น” ใบหน้าและอารมณ์ของพวกมันมองเห็นได้ยากในภาพถ่ายในกรงที่มีแสงน้อย ทำให้พวกมันดู “น่าสนใจน้อยกว่า” เมื่อเทียบกับแมวสีส้มหรือแมวลายสลิดที่มีสีสันตัดกันชัดเจน
- การมองไม่เห็น (Invisibility) ในสภาพแวดล้อมของศูนย์พักพิงที่มักมีแสงสลัว แมวดำมักจะกลืนหายไปกับเงามืดในกรง ทำให้ผู้ที่เดินผ่านไปมามองไม่เห็น
- ความ “ธรรมดา” เนื่องจากขนสีดำเป็นลักษณะที่พบได้บ่อย ผู้คนอาจมองว่าพวกมัน “ธรรมดา” หรือ “ไม่พิเศษ” เมื่อเทียบกับแมวที่มีลวดลายหายาก
ดังนั้น ปัญหาที่เมืองเทอร์รัสซากำลังพยายามแก้ไข จึงเป็นปัญหาที่แมวดำต้องเผชิญอยู่ทุกวัน เพียงแต่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงฮาโลวีน
การถกเถียงด้านสวัสดิภาพสัตว์ นโยบายนี้ “ช่วย” หรือ “ซ้ำเติม” แมวดำ?
การตัดสินใจของเมืองเทอร์รัสซาได้จุดชนวนการถกเถียงที่ซับซ้อนในแวดวง สวัสดิภาพสัตว์ ว่านโยบาย ห้ามรับเลี้ยงแมวดำ ในช่วงฮาโลวีนนั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดหรือไม่
ฝ่ายสนับสนุน “ป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าแก้”
กลุ่มที่สนับสนุนมาตรการนี้ (รวมถึงเทศบาลเมืองเทอร์รัสซาและศูนย์พักพิงสัตว์หลายแห่งในสเปนและทั่วโลกที่มีนโยบายคล้ายกัน) ยึดหลักการป้องกันไว้ก่อน
- ความเสี่ยงเรื่อง “พิธีกรรม” แม้จะไม่มีสถิติที่ชัดเจน แต่ความกลัวเรื่องการทารุณกรรมในพิธีกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด สำนักข่าวสเปนอย่าง Infobae และ Diario Público ได้รายงานถึงความกังวลของกลุ่มพิทักษ์สัตว์ในท้องถิ่น Diario Público อ้างถึงกรณีที่ศูนย์พักพิงแห่งหนึ่งในมาดริดปฏิเสธคำขอรับเลี้ยงแมวจากเจ้าของร้านขายของไสยศาสตร์ (Esotericism shop) เพื่อความปลอดภัย
- ภัยคุกคามที่แท้จริง “สัตว์เลี้ยงประกอบฉาก” ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นบ่อยกว่าและได้รับการยืนยันมากกว่า คือการที่ผู้คนรับเลี้ยงแมวดำไปเพื่อใช้เป็น “อุปกรณ์ประกอบฉากที่มีชีวิต” สำหรับงานปาร์ตี้ฮาโลวีน หรือเพื่อถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดีย เมื่อเทศกาลสิ้นสุดลงในวันที่ 1 พฤศจิกายน แมวเหล่านี้ก็มักจะถูกนำไปทอดทิ้ง
- ภาระของศูนย์พักพิง การรับแมวที่ถูกทอดทิ้งกลับเข้ามาในระบบอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน สร้างภาระอันหนักอึ้งให้กับศูนย์พักพิงที่ทรัพยากรมีจำกัดอยู่แล้ว การระงับการรับเลี้ยงชั่วคราว จึงเป็นการคัดกรองผู้ที่ไม่มีความตั้งใจจริงออกไป
ฝ่ายค้าน “ตอกย้ำอคติ และลดโอกาสรอด”
ในทางกลับกัน องค์กรพิทักษ์สัตว์ขนาดใหญ่หลายแห่ง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เช่น The Humane Society of the United States (HSUS), ASPCA และ Alley Cat Allies กลับมีจุดยืนที่ตรงกันข้าม พวกเขา “ไม่สนับสนุน” การห้ามรับเลี้ยงแมวดำในช่วงฮาโลวีน
- ไม่มีหลักฐานทางสถิติ องค์กรเหล่านี้ยืนยันตรงกัน (อ้างอิงจากบทความของ National Geographic ที่มีการค้นคว้าเรื่องนี้) ว่า “ไม่มีสถิติที่ยืนยันได้, ไม่มีคดีในศาล, หรือการศึกษาใดๆ ที่สนับสนุนแนวคิดว่าอาชญากรรมทางไสยศาสตร์ร้ายแรง (Satanic cult crime) ที่เกี่ยวข้องกับแมว เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงฮาโลวีน”
- อันตรายที่แท้จริงคือความเชื่อโชคลาง ไม่ใช่พิธีกรรม พวกเขาแย้งว่าอันตรายที่แท้จริงต่อแมวดำคือ “ความเชื่อโชคลาง” ที่ทำให้พวกมันไม่ถูกรับเลี้ยงตลอดทั้งปี การสั่งห้ามอย่างเป็นทางการในช่วงฮาโลวีน ซึ่งเป็นช่วงที่สื่อให้ความสนใจแมวดำเป็นพิเศษ กลับกลายเป็นการ “รับรอง” และ “ตอกย้ำ” ความเชื่อมโยงเชิงลบระหว่างแมวดำกับความชั่วร้ายในสายตาของสาธารณชน
- ลดโอกาสในการมีบ้าน นโยบายนี้ “ลงโทษ” แมวที่ต้องการบ้านมากที่สุด ด้วยการลดหน้าต่างแห่งโอกาสในการถูกรับเลี้ยง และยังเป็นการปฏิเสธครอบครัวดีๆ ที่อาจจะแค่อยากรับเลี้ยงแมวในช่วงเวลานั้นพอดี
- ทางออกที่ดีกว่า แทนที่จะ “ห้าม” องค์กรเหล่านี้แนะนำให้ใช้กระบวนการ “คัดกรอง” ที่เข้มงวดตลอดทั้งปี เช่น การสัมภาษณ์ผู้ขอรับเลี้ยงอย่างละเอียด, การตรวจสอบข้อมูลอ้างอิง, และการติดตามผลหลังการรับเลี้ยง เพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์ทุกตัว (ไม่ว่าจะสีอะไร) ได้ไปอยู่ในบ้านที่พร้อมและมีความรัก
บทสรุป (Conclusion) ความย้อนแย้งของฮาโลวีน
การตัดสินใจของเมืองเทอร์รัสซาใน สเปน ที่จะ ห้ามรับเลี้ยงแมวดำ ในช่วง เทศกาลฮาโลวีน 2025 ได้เปิดเผยมิติที่ซับซ้อนของการต่อสู้เพื่อ สวัสดิภาพสัตว์ ในโลกสมัยใหม่ มันคือความย้อนแย้งที่นโยบายซึ่งเกิดจากเจตนาดีในการปกป้องสัตว์ กลับต้องอิงอยู่บนพื้นฐานของ ความเชื่อโชคลาง ยุคกลาง ซึ่งเป็นรากเหง้าของอคติที่ทำให้สัตว์เหล่านี้ต้องทนทุกข์มาตั้งแต่แรก
ในขณะที่เทอร์รัสซาเลือกใช้ความระมัดระวังขั้นสูงสุดเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น (ไม่ว่าจะจริงหรือเป็นเพียงตำนาน) การถกเถียงในระดับสากลยังคงดำเนินต่อไปว่า วิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับเงาแห่งอดีต คือการยอมรับความกลัวนั้น หรือการเปิดไฟให้สว่างด้วยข้อเท็จจริงและส่งเสริมการอุปการะอย่างมีความรับผิดชอบ
ไม่ว่านโยบายนี้จะถูกต้องหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ สำหรับแมวดำแล้ว การต่อสู้เพื่อลบภาพลักษณ์ “สัญลักษณ์แห่งความโชคร้าย” และการได้รับการยอมรับในฐานะ “สัตว์เลี้ยง” ที่น่ารักเหมือนแมวสีอื่นๆ ยังคงเป็นสมรภูมิที่พวกมันต้องเผชิญ ไม่ใช่แค่ในคืนฮาโลวีน แต่ในทุกๆ วันของปี (ความยาวบทความ ประมาณ 2,250 คำ)
แหล่งที่มาจาก : am2con