พายุโซนร้อน “เฟิงเฉิน” (รามิล) ซ้ำเติมฟิลิปปินส์ วิเคราะห์วิกฤตมนุษยธรรมซ้อนทับแผ่นดินไหว ขณะพายุมุ่งหน้าถล่มเวียดนาม

พายุโซนร้อน เฟิงเฉิน

พายุโซนร้อน “เฟิงเฉิน” (Tropical Storm Fengshen) ซึ่งใช้ชื่อท้องถิ่นในฟิลิปปินส์ว่า “รามิล” (Ramil) ได้เคลื่อนตัวพ้นจากขอบเขตพื้นที่รับผิดชอบของฟิลิปปินส์ (PAR) แล้วในสัปดาห์นี้ แต่ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความสูญเสียและโศกนาฏกรรมไว้เบื้องหลัง รายงานล่าสุดยืนยันยอดผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ถึง 8 ราย และส่งผลให้ประชาชนกว่า 133,000 คนได้รับผลกระทบ โดยมีผู้อพยพออกจากที่พักอาศัยชั่วคราวมากกว่า 25,000 คน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่แท้จริงที่ฟิลิปปินส์กำลังเผชิญ ไม่ใช่แค่ ผลกระทบพายุเฟิงเฉิน เพียงอย่างเดียว แต่เป็นวิกฤตการณ์ “ภัยพิบัติซ้อน” (Compounding Disaster) ที่พายุลูกนี้พัดเข้าถล่มพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ ซึ่งยังคงบอบช้ำและอยู่ในระหว่างการฟื้นฟูจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงหลายครั้งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ขณะนี้ พายุเฟิงเฉิน ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็น “พายุโซนร้อนกำลังแรง” ใน ทะเลจีนใต้ และกำลังเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าสู่ชายฝั่งประเทศเวียดนาม สร้างความตึงเครียดให้กับการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Thousands flee Philippine coast as Tropical Storm Fengshen makes landfall -  VnExpress International

พายุโซนร้อน เฟิงเฉิน ความสูญเสียจาก “เฟิงเฉิน” ยอดผู้เสียชีวิตและการอพยพครั้งใหญ่

แม้ว่า พายุโซนร้อน เฟิงเฉิน จะไม่ได้มีความรุนแรงถึงระดับซูเปอร์ไต้ฝุ่น แต่ด้วยอิทธิพลของพายุที่เคลื่อนตัวช้าและปริมาณฝนที่ตกสะสมอย่างหนัก ได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะในเกาะลูซอน ซึ่งเป็นเกาะหลักของประเทศ

ข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมจากสภาการจัดการและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งชาติ (NDRRMC) ของฟิลิปปินส์ และรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศ (เช่น Associated Press, Anadolu Ajansı) ยืนยันยอดผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ราย และมีรายงานผู้สูญหายอีก 2 ราย เหตุการณ์ที่น่าสลดใจที่สุดเกิดขึ้นที่เมืองปิโตโก (Pitogo) ในจังหวัดเกซอน (Quezon) เมื่อสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน 5 คน รวมถึงเด็ก 2 คน เสียชีวิตขณะนอนหลับอยู่ในกระท่อม หลังจากต้นมะพร้าวขนาดใหญ่ที่ถูกเผาเพื่อพยายามโค่นทิ้งก่อนหน้านี้ ได้ล้มทับลงมากลางดึกอันเป็นผลมาจากลมกระโชกแรงและดินที่อ่อนตัวเพราะฝน

นอกเหนือจากโศกนาฏกรรมดังกล่าว ยังมีรายงานผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำในเมืองโรซัส (Roxas City) จังหวัดคาปิซ (Capiz) ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับภาวะน้ำท่วมฉับพลันรุนแรงที่สุด โดยมีรายงานว่าปริมาณน้ำฝนใน 24 ชั่วโมงสูงถึง 400.7 มิลลิเมตรในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเมืองกีวัน (Guiuan) ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งเดือน

ผลกระทบในวงกว้างของ พายุเฟิงเฉิน ฟิลิปปินส์ ทำให้เกิดการ อพยพชาวบ้าน ครั้งใหญ่ ข้อมูลจาก NDRRMC ที่เผยแพร่ผ่าน ReliefWeb ระบุว่า มีประชากรพลัดถิ่นสูงถึง 25,029 คน โดยในจำนวนนี้ 13,403 คน ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพชั่วคราว 261 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่ยอดผู้ได้รับผลกระทบ (Affected Population) โดยรวมสูงถึง 37,852 ครัวเรือน หรือประมาณ 133,196 คน ใน 9 จังหวัด สะท้อนให้เห็นถึงขนาดของความเดือดร้อนที่ประชาชนต้องเผชิญ

วิกฤตซ้อนวิกฤต เมื่อพายุซ้ำเติมพื้นที่ภัยพิบัติแผ่นดินไหว

“มุมมองข่าวที่น่าสนใจที่สุดในระดับสากล” สำหรับเหตุการณ์นี้ คือการที่ พายุโซนร้อน เฟิงเฉิน ไม่ได้โจมตีฟิลิปปินส์ในภาวะปกติ แต่เป็นการ “ซ้ำเติม” วิกฤตด้านมนุษยธรรมที่มีอยู่เดิม

สำนักข่าว AP และ The Guardian ชี้ให้เห็นว่า พายุลูกนี้ซึ่งเป็นพายุหมุนเขตร้อนลูกที่ 18 ที่พัดเข้าฟิลิปปินส์ในปีนี้ ได้พัดผ่านพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ (เช่น เกาะเซบู และมินดาเนา) ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวกับที่เพิ่งเผชิญเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงหลายระลอกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

เหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวก่อนหน้านี้ ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 87 ราย และสร้างความเสียหายแก่อาคารบ้านเรือนกว่า 134,000 หลังคาเรือน (เฉพาะในจังหวัดเซบู) ประชาชนจำนวนมากยังคงอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว หรือในบ้านเรือนที่เสี่ยงต่อการพังทลาย

การมาถึงของ พายุเฟิงเฉิน จึงเปรียบเสมือนฝันร้ายที่เกิดขึ้นซ้ำสอง

  • ความเปราะบางของที่พักพิง ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่อาศัยในเต็นท์หรือที่พักชั่วคราว ต้องเผชิญกับลมกระโชกแรงและฝนที่ตกหนัก ทำให้สภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่ลงอย่างหนัก
  • ความเสี่ยงดินถล่ม พื้นดินที่เพิ่งได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดดินถล่ม (Landslides) เมื่อต้องรับปริมาณน้ำฝนมหาศาลจากพายุ
  • ภาระที่หนักอึ้งของหน่วยงานกู้ภัย NDRRMC และหน่วยงานป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (Office of Civil Defense) ต้องแบ่งทรัพยากรในการรับมือ ทั้งการฟื้นฟูจากแผ่นดินไหวและการตอบสนองฉุกเฉินต่อพายุในเวลาเดียวกัน โดย NDRRMC ยืนยันว่าต้องคงสถานะ “การแจ้งเตือนระดับสีแดง” (RED alert) เพื่อรับมือผลกระทบจากทั้งแผ่นดินไหว M6.8 ที่เซบู, M7.4 และ M6.8 ที่ดาเวาโอเรียนตัล และ ผลกระทบพายุเฟิงเฉิน ไปพร้อมกัน

สถานการณ์นี้ตอกย้ำถึงความท้าทายอย่างยิ่งยวดในการจัดการภัยพิบัติในประเทศที่ตั้งอยู่บน “วงแหวนแห่งไฟ” (Ring of Fire) ซึ่งต้องเผชิญทั้งแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และพายุไต้ฝุ่นประมาณ 20 ลูกต่อปี

Thousands flee Philippine coast as storm makes landfall | Jordan Times

ถอดรหัสเส้นทางพายุ “เฟิงเฉิน” (รามิล) และความเสียหายเชิงโครงสร้าง

การทำความเข้าใจ เส้นทางพายุ เฟิงเฉิน เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความเสียหาย พายุรามิล (ชื่อท้องถิ่น) เริ่มก่อตัวในทะเลฟิลิปปินส์ตะวันออก และเข้าสู่เขต PAR เมื่อประมาณวันที่ 16-17 ตุลาคม 2568 ก่อนจะทวีกำลังเป็นพายุโซนร้อน

สิ่งที่ทำให้พายุลูกนี้สร้างความเสียหายได้มาก คือการ “ขึ้นฝั่งซ้ำซ้อน” (Multiple Landfalls) โดยข้อมูลจาก PAGASA (สำนักงานบริหารบรรยากาศ ธรณีฟิสิกส์ และดาราศาสตร์แห่งฟิลิปปินส์) และ NDRRMC ระบุว่า พายุขึ้นฝั่ง อย่างน้อย 4 ครั้งในแผ่นดินใหญ่ของเกาะ ลูซอน ระหว่างวันที่ 18-19 ตุลาคม

  1. เมืองกูบัต (Gubat), จังหวัดซอร์โซโกน (Sorsogon)
  2. เมืองอาลาบัต (Alabat), จังหวัดเกซอน
  3. เมืองมาอูบัน (Mauban), จังหวัดเกซอน
  4. เมืองซามัล (Samal), จังหวัดบาตาอัน (Bataan)

การเคลื่อนตัวตัดผ่านเกาะลูซอนหลายครั้งนี้ ได้ “กวาด” เอาความชื้นมหาศาลจากทะเลขึ้นสู่ฝั่ง ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง นำไปสู่ภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

รายงานความเสียหายเชิงโครงสร้างพื้นฐาน (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2568 จาก ReliefWeb) ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบในวงกว้าง

  • เส้นทางคมนาคม ถนน 27 สาย และสะพาน 28 แห่ง ได้รับผลกระทบ (มีเพียง 11% ที่ยังสัญจรได้ตามปกติ)
  • การสัญจรทางทะเล ท่าเรือ 66 แห่ง ได้รับผลกระทบ (มีเพียง 20% ที่ยังเปิดดำเนินการได้)
  • พื้นที่น้ำท่วม มีรายงานพื้นที่น้ำท่วมขัง (Flooded areas) อย่างน้อย 48 แห่ง

ความเสียหายเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตัดขาดชุมชนออกจากความช่วยเหลือ แต่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาคการเกษตรและการประมงชายฝั่ง

สถานการณ์ล่าสุด “เฟิงเฉิน” ทวี

กำลังมุ่งหน้าสู่เวียดนามและผลกระทบต่อภูมิภาค

แม้ว่าฟิลิปปินส์จะพ้นจากอิทธิพลโดยตรงของพายุแล้ว แต่วิกฤตยังไม่จบสิ้น พายุโซนร้อน เฟิงเฉิน ล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2568) ได้เคลื่อนตัวออกจาก PAR ลงสู่ ทะเลจีนใต้ และสถานการณ์กำลังน่าเป็นห่วงสำหรับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค

  • การทวีกำลังแรง PAGASA รายงานล่าสุด (22 ต.ค. เวลา 15.00 น.) ระบุว่า พายุ “เฟิงเฉิน” (ซึ่งอยู่นอก PAR ไปแล้ว 1,120 กม. ทางตะวันตกของลูซอนเหนือ) ได้ทวีกำลังขึ้นเป็น “พายุโซนร้อนกำลังแรง” (Severe Tropical Storm) โดยมีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และลมกระโชกแรงถึง 115 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
  • เป้าหมายถัดไป เวียดนาม พายุกำลังเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก/ตะวันตกเฉียงใต้ มุ่งหน้าสู่ชายฝั่งตอนกลางของประเทศ เวียดนาม โดยคาดว่าจะขึ้นฝั่งในบริเวณเมืองดานัง (Da Nang) และกว๋างจิ (Quang Tri) ในช่วงวันที่ 23-25 ตุลาคมนี้
  • การแจ้งเตือนในจีน ก่อนหน้านี้ ศูนย์สังเกตการณ์แห่งชาติของจีนได้ออกประกาศ “เตือนภัยระดับสีน้ำเงิน” (Blue Alert) สำหรับพายุไต้ฝุ่น “เฟิงเฉิน” (ตามการจัดระดับของจีน) เพื่อเตือนเรือในทะเลจีนใต้
  • ผลกระทบต่อไทยและเพื่อนบ้าน ศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (AHA Centre) และกรมอุตุนิยมวิทยาของไทย ต่างจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อิทธิพลของพายุ “เฟิงเฉิน” เมื่อเคลื่อนเข้าใกล้เวียดนาม อาจทำให้เกิดฝนตกหนักใน สปป.ลาว กัมพูชา และมีโอกาสส่งผลกระทบถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของประเทศไทยในช่วงปลายสัปดาห์นี้

Storm Fengshen: 7 dead in Philippines, forces thousands to evacuate; Typhoon  alert in China

บทเรียนจากฟิลิปปินส์ ความท้าทายของการเป็น “แนวหน้า” ภัยพิบัติโลก

เหตุการณ์ พายุถล่มฟิลิปปินส์ ครั้งนี้ ตอกย้ำสถานะของประเทศในฐานะหนึ่งใน “ประเทศที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติมากที่สุดในโลก” (World’s most disaster-prone countries) ดังที่ AP News ได้วิเคราะห์ไว้

ฟิลิปปินส์ตั้งอยู่บนจุดบรรจบกันของมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ ทำให้ต้องเผชิญกับพายุและไต้ฝุ่นเฉลี่ยปีละประมาณ 20 ลูก นอกจากนี้ การที่ประเทศตั้งอยู่บน “วงแหวนแห่งไฟ” แปซิฟิก (Pacific Ring of Fire) ยังหมายถึงการต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวและภูเขาไฟปะทุอยู่เป็นนิจ

แม้ว่ารัฐบาลฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะ PAGASA และ NDRRMC จะมีระบบการเตือนภัยล่วงหน้าและการอพยพประชาชนที่มีประสิทธิภาพ (ซึ่งเห็นได้จากการอพยพผู้คนกว่า 22,000 – 25,000 คน ก่อน ที่พายุจะสร้างความเสียหายรุนแรง) แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือ “ความถี่” ของภัยพิบัติ

การฟื้นฟูจากภัยพิบัติหนึ่งยังไม่ทันเสร็จสิ้น ภัยพิบัติใหม่ก็จ่อคิวเข้ามาซ้ำเติม ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อ

  1. งบประมาณของรัฐ งบประมาณที่ควรใช้ในการพัฒนาประเทศ ต้องถูกจัดสรรมาใช้ในการบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
  2. ความมั่นคงทางอาหาร ภาคเกษตรกรรมมักเป็นด่านแรกที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมและลมแรง
  3. สุขภาพจิตของประชาชน ความเครียดจากการต้องอพยพและการสูญเสียทรัพย์สินซ้ำซาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

ความเสียหาย พายุเฟิงเฉิน ฟิลิปปินส์ จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขผู้เสียชีวิตหรือมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึง “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” ในการพัฒนาประเทศที่ต้องสะดุดลงเพราะภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บทสรุป พายุโซนร้อน เฟิงเฉิน (Conclusion)

พายุโซนร้อน “เฟิงเฉิน” (รามิล) ได้ทิ้งบทเรียนราคาแพงไว้ให้ฟิลิปปินส์ แม้พายุจะเคลื่อนตัวผ่านไปแล้ว แต่ภารกิจการฟื้นฟูยังคงหนักหนา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องรับมือกับวิกฤตซ้อนจากแผ่นดินไหว ขณะนี้ ประชาคมระหว่างประเทศกำลังจับตามองไปยัง เวียดนาม ซึ่งกำลังเตรียมพร้อมรับมือกับการมาถึงของพายุลูกเดียวกันนี้ที่ทวีกำลังแรงขึ้นใน ทะเลจีนใต้ เหตุการณ์นี้ย้ำเตือนอีกครั้งว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นแนวหน้าในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและถี่ขึ้น (ความยาวบทความ ประมาณ 2,150 คำ)

แหล่งที่มาจาก : am2con