รัฐประหารมาดากัสการ์ อันตานานาริโว, มาดากัสการ์ | 21 ตุลาคม 2025 – ท่ามกลางเสียงประณามอย่างหนักหน่วงจากประชาคมระหว่างประเทศ พันเอก เฌราร์ ฟอทรา (Colonel Gerard Fotra) ผู้นำการก่อรัฐประหารมาดากัสการ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เตรียมเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี “แห่งสภาสูงเพื่อการเปลี่ยนผ่าน” (High Transitional Council) ในวันนี้ ณ กรุงอันตานานาริโว เมืองหลวงของประเทศ การเคลื่อนไหวที่ท้าทายนี้เกิดขึ้นเพียง 24 ชั่วโมงหลังจากที่สหภาพแอฟริกา (AU) และประชาคมเพื่อการพัฒนาแอฟริกาตอนใต้ (SADC) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ระงับสมาชิกภาพของมาดากัสการ์ และขู่ใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรง การสาบานตนครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านอำนาจ แต่คือการลากเส้นแบ่งที่ชัดเจน ผลักดันเกาะที่ใหญ่ที่สุดของแอฟริกาแห่งนี้ไปสู่การโดดเดี่ยวทางภูมิรัฐศาสตร์ และสุ่มเสี่ยงต่อวิกฤตมนุษยธรรมครั้งใหม่ในชาติที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
การจราจรในกรุงอันตานานาริโว เมืองหลวงที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงของมาดากัสการ์ เต็มไปด้วยยานยนต์หุ้มเกราะและจุดตรวจของทหารในเช้าวันนี้ (21 ตุลาคม 2025) ท้องถนนที่ปกติควรจะคับคั่งไปด้วยตลาดกลางแจ้งและรถแท็กซี่เรโนลต์รุ่นเก่า กลับถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศตึงเครียด กองกำลังความมั่นคงได้ปิดล้อมพื้นที่รอบสนามกีฬาเทศบาลมาฮามาซินา (Mahamasina Municipal Stadium) สถานที่ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นฉากแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ทางการเมืองของมาดากัสการ์
พันเอก เฌราร์ ฟอทรา นายทหารผู้มีบุคลิกเงียบขรึม วัย 52 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังแทรกแซงพิเศษ (Forces d’Intervention Spéciales – FIS) กองกำลังชั้นยอดของกองทัพมาดากัสการ์ มีกำหนดการจะกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า โดยมีคณะทหารผู้ก่อการ (Junta) และเจ้าหน้าที่ตุลาการที่ภักดี ยืนขนาบข้าง
ในแถลงการณ์ที่อ่านผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติเมื่อคืนนี้ (TVM) โฆษกของคณะทหารอ้างว่า การสาบานตนครั้งนี้ “จำเป็นต่อการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยของรัฐ” และ “ยุติยุคแห่งการคอร์รัปชั่นที่ฝังรากลึก” ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดี อันดรี ราโจเอลินา (Andry Rajoelina) ที่ถูกโค่นล้มไป ซึ่งขณะนี้มีรายงานว่าถูกควบคุมตัวไว้ในสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของพันเอกฟอทรา กำลังถูกจับตามองจากทั่วโลกว่าเป็นการ “ตบหน้า” ประชาคมระหว่างประเทศอย่างจงใจ
รัฐประหารมาดากัสการ์ ปฏิกิริยาโลก การโดดเดี่ยวอย่างสมบูรณ์
เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่พิธีสาบานตนจะเริ่มขึ้น เสียงประณามจากนานาชาติก็ดังกระหึ่มและพร้อมเพรียงกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นบ่อยนัก
สหภาพแอฟริกา (AU) และ SADC “ไม่ยอมรับโดยสิ้นเชิง”
การประชุมฉุกเฉินของสภาสันติภาพและความมั่นคงแห่งสหภาพแอฟริกา (AU Peace and Security Council) ที่กรุงแอดดิสอาบาบา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปที่เด็ดขาดที่สุด แถลงการณ์จากนายมุสซา ฟากี มาฮามัต (Moussa Faki Mahamat) ประธานคณะกรรมาธิการ AU ระบุว่า
“สหภาพแอฟริกาประณามการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญในมาดากัสการ์อย่างรุนแรงที่สุด… เราขอประกาศระงับการเข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมดของสาธารณรัฐมาดากัสการ์ในสหภาพแอฟริกาทันที จนกว่าจะมีการฟื้นฟูระเบียบตามรัฐธรรมนูญ”
ในทำนองเดียวกัน ประชาคมเพื่อการพัฒนาแอฟริกาตอนใต้ (SADC) ซึ่งมาดากัสการ์เป็นสมาชิก ก็ได้ออกแถลงการณ์ที่แข็งกร้าวไม่แพ้กัน โดยเรียกการกระทำของกองทัพว่าเป็น “การละเมิดหลักการประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานของ SADC อย่างโจ่งแจ้ง” และขู่ว่าจะบังคับใช้ “มาตรการคว่ำบาตรแบบกำหนดเป้าหมาย” ต่อพันเอกฟอทรา และผู้นำทหารคนอื่นๆ รวมถึงครอบครัวของพวกเขา
มหาอำนาจตะวันตกและอดีตเจ้าอาณานิคม
ปฏิกิริยาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแอฟริกา
- สหรัฐอเมริกา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ “ปล่อยตัวประธานาธิบดีราโจเอลินาโดยทันที และกลับสู่กระบวนการประชาธิปไตย” โฆษกกระทรวงฯ ยังส่งสัญญาณชัดเจนว่า ความช่วยเหลือมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ต่อปี โดยเฉพาะผ่านโครงการบัญชีสหัสวรรย์ท้าทาย (Millennium Challenge Corporation – MCC) และกฎหมายการเจริญเติบโตและโอกาสของแอฟริกา (AGOA) กำลัง “อยู่ระหว่างการทบทวนอย่างเร่งด่วน” ซึ่งอาจหมายถึงการตัดความช่วยเหลือทั้งหมด
- ฝรั่งเศส ในฐานะอดีตเจ้าอาณานิคมและคู่ค้าสำคัญที่สุดของมาดากัสการ์ กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสในกรุงปารีส ประณามการรัฐประหารครั้งนี้อย่างรุนแรง “ฝรั่งเศสไม่ยอมรับรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นโดยการใช้กำลัง” แถลงการณ์ระบุ “เราเรียกร้องให้มีการเจรจาโดยทันทีเพื่อหาทางออกจากวิกฤตที่เคารพเจตจำนงของประชาชนชาวมาลากาซี”
- สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนารายใหญ่ที่สุดของเกาะแห่งนี้ แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของประเทศ และเตือนว่า “ความร่วมมือทั้งหมด” จะต้องถูกประเมินใหม่
การโดดเดี่ยวในระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับมาดากัสการ์ ซึ่งเคยเผชิญกับสถานการณ์คล้ายคลึงกันหลังวิกฤตการเมืองในปี 2009 แต่ครั้งนี้ สถานการณ์แตกต่างออกไป เนื่องจากประเทศกำลังเปราะบางอย่างถึงขีดสุด
พันเอก เฌราร์ ฟอทรา คือใคร? จากผู้พิทักษ์สู่ผู้โค่นล้ม
สำหรับชาวมาลากาซีส่วนใหญ่ พันเอก เฌราร์ ฟอทรา ยังคงเป็นบุคคลลึกลับ จนกระทั่งสัปดาห์ที่แล้ว เขาเป็นที่รู้จักในวงจำกัดในฐานะนายทหารอาชีพที่ได้รับการฝึกฝนจากสถาบันการทหารในฝรั่งเศสและสหรัฐฯ เขาไต่เต้าในสายงานบังคับบัญชาและได้รับความเคารพจากลูกน้องในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังแทรกแซงพิเศษ (FIS) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อภารกิจต่อต้านการก่อการร้ายและรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ
แหล่งข่าวในกองทัพให้ข้อมูลกับสำนักข่าว AFP ว่า พันเอกฟอทรา ถูกมองว่าเป็น “ทหารเทคโนแครต” ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และเคยภักดีต่อประธานาธิบดีราโจเอลินาอย่างแข็งขัน
จุดแตกหักคืออะไร? คำปราศรัยแรกของเขาหลังการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ได้ให้เบาะแสบางอย่าง พันเอกฟอทรากล่าวหาว่า รัฐบาลพลเรือน “ล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยของชาติ” และ “ปล่อยให้การคอร์รัปชั่นกัดกินประเทศจนถึงแก่น”
นักวิเคราะห์การเมืองในอันตานานาริโวชี้ไปที่เหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์
- เรื่องอื้อฉาวสัญชาติฝรั่งเศสของราโจเอลินา การเปิดโปงเมื่อปี 2023 ว่าประธานาธิบดีราโจเอลินาแอบถือสัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งตามกฎหมายของมาดากัสการ์อาจทำให้เขาขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง สร้างความไม่พอใจอย่างมากในหมู่กองกำลังความมั่นคงที่ยึดมั่นในแนวคิดชาตินิยม
- การจัดการทรัพยากรที่ล้มเหลว มีความไม่พอใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับข้อตกลงเหมืองแร่ที่ “ไม่เป็นธรรม” กับบริษัทต่างชาติ และความล้มเหลวของรัฐบาลในการปราบปรามการลักลอบค้าไม้โรสวูด (Rosewood) อย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นธุรกิจมืดมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่เชื่อว่ามีนักการเมืองระดับสูงอยู่เบื้องหลัง
“พันเอกฟอทราอาจมองว่าตัวเองเป็นผู้กอบกู้ ไม่ใช่นักเผด็จการ” ดร. มารี ราซาฟี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองมาลากาซีจากสถาบันวิจัยในปารีส ให้ความเห็น “เขาอาจเชื่ออย่างแท้จริงว่า สถาบันพลเรือนได้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และกองทัพคือสถาบันเดียวที่เหลืออยู่ที่จะกอบกู้ชาติได้ แต่นี่คือตรรกะที่อันตรายที่มักนำไปสู่หายนะ”
รากเหง้าของวิกฤต ความยากจนเรื้อรัง และเศรษฐกิจที่พังทลาย
รัฐประหารมาดากัสการ์ การที่จะเข้าใจว่า ทำไมมาดากัสการ์ถึงเกิดรัฐประหาร บ่อยครั้ง (นี่คือวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่นับไม่ถ้วนตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 1960) เราจำเป็นต้องมองข้ามการแย่งชิงอำนาจในเมืองหลวง และมองไปยังสภาพความเป็นจริงที่โหดร้ายของประชากรกว่า 30 ล้านคน
ความจนที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด มาดากัสการ์คือดินแดนแห่งความขัดแย้งสุดขั้ว เกาะแห่งนี้อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่ไม่เหมือนใครในโลก และมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล แต่ประชากรกลับยากจนข้นแค้น
ตามรายงานล่าสุดของธนาคารโลก (World Bank) ประจำปี 2025
- เกือบ 80% ของประชากร มีชีวิตอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนสากล (น้อยกว่า 2.15 ดอลลาร์ต่อวัน)
- มาดากัสการ์เป็นหนึ่งใน 10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกเมื่อวัดจาก GDP ต่อหัว
- การเข้าถึงไฟฟ้าและน้ำสะอาดอยูในระดับต่ำอย่างน่าใจหาย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
“Kere” และหายนะจากสภาพอากาศ ทางตอนใต้ของประเทศ หรือที่เรียกว่า “Grand Sud” กำลังเผชิญกับภาวะทุพภิกขภัยซ้ำซาก ที่ชาวบ้านเรียกว่า “Kere” ซึ่งรุนแรงขึ้นจากภาวะแห้งแล้งที่ยาวนานที่สุดในรอบ 40 ปี อันเป็นผลโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) แม้ว่ามาดากัสการ์จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุดก็ตาม
ในขณะเดียวกัน พายุไซโคลนที่รุนแรงขึ้นก็ถล่มชายฝั่งตะวันออกเป็นประจำทุกปี ทำลายโครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่เกษตรกรรม รัฐบาลของราโจเอลินาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าล้มเหลวในการจัดการวิกฤตเหล่านี้ ปล่อยให้ความช่วยเหลือจากนานาชาติล่าช้า และมีการทุจริตในระบบการแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์
เศรษฐกิจวานิลลาและคำสาปทรัพยากร เศรษฐกิจของมาดากัสการ์พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์เพียงไม่กี่ชนิด โดยเฉพาะ วานิลลา ซึ่งมาดากัสการ์ผลิตได้ถึง 80% ของผลผลิตโลก แต่ความผันผวนของราคาในตลาดโลก และการควบคุมตลาดโดยกลุ่มผู้ส่งออกไม่กี่ราย ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกยังคงยากจน
ในขณะเดียวกัน การค้นพบแหล่งแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) เช่น นิกเกิล, โคบอลต์ (จำเป็นสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า) และกราไฟต์ กลับไม่ได้นำความมั่งคั่งมาสู่ประชาชนส่วนใหญ่ โครงการเหมืองแร่ขนาดใหญ่ เช่น โครงการ Ambatovy (หนึ่งในการลงทุนด้านเหมืองแร่นิกเกิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก) ถูกครหาเรื่องความโปร่งใสในสัญญา และผลประโยชน์ที่ตกอยู่กับกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองในอันตานานาริโว
“ประชาชนเหนื่อยล้า พวกเขาไม่สนใจว่าใครจะอยู่ในอำนาจ พวกเขาสนใจแค่ว่าจะมีข้าวกินในวันพรุ่งนี้หรือไม่” พอล ราโกโต พลเมืองในเมืองหลวง กล่าวกับรอยเตอร์ “รัฐบาลที่แล้วล้มเหลว แต่เราก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลทหารจะเลวร้ายกว่าเดิมหรือไม่”
การเดิมพันทางภูมิรัฐศาสตร์ เมื่อ@มหาอำนาจแย่งชิง “เกาะสีแดง”
การรัฐประหารครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในระดับภูมิภาค แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ในมหาสมุทรอินเดีย
มาดากัสการ์ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ควบคุมช่องแคบโมซัมบิก (Mozambique Channel) ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านที่สุดในโลก
จีนและรัสเซียกำลังจับตามอง ในขณะที่สหรัฐฯ, ฝรั่งเศส และ EU กำลังเตรียมใช้มาตรการ “ไม้แข็ง” (การคว่ำบาตรและการตัดความช่วยเหลือ) ประวัติศาสตร์ในแอฟริกาแสดงให้เห็นว่า การโดดเดี่ยวจากตะวันตกมักจะเปิดประตูให้มหาอำนาจอื่นเข้ามาแทนที่
- จีน ปัจจุบันเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในมาดากัสการ์ โดยเน้นที่โครงสร้างพื้นฐาน (ถนน, ท่าเรือ) และเหมืองแร่ รัฐบาลปักกิ่งมักยึดถือนโยบายไม่แทรกแซงกิจการภายใน และมีแนวโน้มที่จะยังคงดำเนินธุรกิจกับระบอบการปกครองใหม่ ตราบใดที่ผลประโยชน์ทางการค้าของพวกเขายังได้รับการคุ้มครอง
- รัสเซีย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัสเซียได้ขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็วในแอฟริกา โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ปกครองโดยทหารในแถบซาเฮล (เช่น มาลี, ไนเจอร์, บูร์กินาฟาโซ) ผ่านการสนับสนุนด้านความมั่นคง (เช่น กลุ่มแอฟริกาคอร์ปส์ หรืออดีตแว็กเนอร์) และการทูต นักวิเคราะห์กังวลว่า พันเอกฟอทรา อาจหันไปพึ่งพามอสโกเพื่อค้ำจุนอำนาจ หากถูกตะวันตกโดดเดี่ยว
“นี่คือบททดสอบสำคัญของ ‘การแพร่ระบาดของรัฐประหาร’ (Coup Contagion) ในแอฟริกา” นักวิเคราะห์จาก International Crisis Group (ICG) กล่าว “หากประชาคมโลก โดยเฉพาะ SADC และ AU ล้มเหลวในการกดดันให้มีการกลับคืนสู่ระบอบรัฐธรรมนูญในมาดากัสการ์อย่างรวดเร็ว มันจะส่งสัญญาณไปยังกองทัพในประเทศอื่นๆ ว่า การยึดอำนาจเป็นสิ่งที่ยอมรับได้”
บทสรุป อนาคตบนเส้นด้าย และราคาที่ประชาชนต้องจ่าย
รัฐประหารมาดากัสการ์ พิธีสาบานตนของ พันเอก เฌราร์ ฟอทรา ในวันนี้ ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของวิกฤต แต่เป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ที่อันตรายอย่างยิ่ง การที่เขาเมินเฉยต่อแรงกดดันจากนานาชาติ อาจทำให้เขาได้รับการชื่นชมจากกลุ่มผู้สนับสนุนแนวคิดชาตินิยมในประเทศ แต่ในความเป็นจริง มันคือการนำพาประเทศเข้าสู่พายุลูกใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแทบจะทันที คือการระงับความช่วยเหลือจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการค้ำจุนงบประมาณของรัฐบาลที่เปราะบางอยู่แล้ว การตัดสิทธิ์ AGOA จากสหรัฐฯ จะทำลายอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งจ้างงานชาวมาลากาซีหลายแสนคน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง
ในขณะที่พันเอกฟอทรากล่าวสุนทรพจน์ ณ สนามกีฬามาฮามาซินา โดยสัญญาว่าจะ “ขจัดความยากจน” และ “ฟื้นฟูเกียรติภูมิของชาติ” ความเป็นจริงสำหรับชาวมาลากาซี 30 ล้านคน คืออนาคตที่มืดมนยิ่งกว่าเดิม
สถานการณ์มาดากัสการ์ล่าสุด ไม่ใช่แค่เรื่องของการเมือง แต่เป็นเรื่องของความเป็นความตาย การรัฐประหารครั้งนี้กำลังคุกคามที่จะตัดเส้นเลือดหล่อเลี้ยงด้านมนุษยธรรมเส้นสุดท้าย และผลักดันให้ประชาชนที่ยากจนที่สุดในโลกกลุ่มหนึ่ง ต้องจมดิ่งลงไปในวิกฤตที่ลึกเกินกว่าจะจินตนาการได้
แหล่งที่มาจาก : am2con