เงามืดในกัมพูชา เมื่อคนหนุ่มสาวเกาหลีใต้กว่า 1,000 คน กลายเป็นฟันเฟืองและเหยื่อในอาณาจักรแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ชาวเกาหลีใต้ทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ชาวเกาหลีใต้ทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ภาพลักษณ์ของงานไอทีเงินเดือนสูงในต่างแดนได้พังทลายลง เผยให้เห็นความเป็นจริงอันโหดร้ายของการค้ามนุษย์ยุคดิจิทัล เมื่อกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้และหน่วยงานตำรวจสากลได้เปิดเผยข้อมูลน่าตกใจว่า มีชาวเกาหลีใต้ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่มีทักษะด้านเทคโนโลยี ถูกล่อลวงไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์และองค์กรหลอกลวงออนไลน์ในประเทศกัมพูชามากกว่า 1,000 คน ขณะที่ตัวเลขผู้ที่ถูกกักขังเยี่ยงทาสและได้รับการช่วยเหลือแล้วพุ่งสูงเกือบ 550 ราย สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่เปิดโปงเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่กำลังเติบโตอย่างน่ากลัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยังสะท้อนถึงวิกฤตสังคมในเกาหลีใต้ ที่ผลักดันให้คนรุ่นใหม่ต้องเสี่ยงโชคจนตกเป็นเหยื่อ และกำลังกลายเป็นความท้าทายทางการทูตและความมั่นคงครั้งสำคัญของภูมิภาค

Over 2,000 S. Koreans involved in voice phishing operations in Cambodia

ชาวเกาหลีใต้ทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จาก “งาน IT ในฝัน” สู่ “เรือนจำไร้ลูกกรง” เส้นทางสู่กับดัก

โศกนาฏกรรมของชาวเกาหลีใต้เหล่านี้มักเริ่มต้นจากโฆษณาจัดหางานที่ดูน่าเชื่อถือบนโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กำลังเผชิญกับภาวะการแข่งขันในตลาดแรงงานที่สูงลิ่วของเกาหลีใต้ เครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ใช้คำโฆษณาที่เย้ายวน เช่น “เจ้าหน้าที่การตลาดออนไลน์” “โปรแกรมเมอร์” หรือ “ฝ่ายบริการลูกค้า” ในบริษัทเทคโนโลยีที่ตั้งอยู่ในกัมพูชา พร้อมเสนอเงินเดือนสูงลิบลิ่ว ที่พักฟรี และสวัสดิการหรูหรา

รายละเอียดของสถานการณ์ (5W1H)

  • Who (ใคร) ชาวเกาหลีใต้ โดยส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มในช่วงอายุ 20-30 ปี ที่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
  • What (ทำอะไร) ถูกหลอกลวงและบังคับให้ทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Voice Phishing) และองค์กรหลอกลวงออนไลน์ต่างๆ เช่น เว็บพนัน, หลอกให้ลงทุน (Pig Butchering Scams) โดยเป้าหมายการหลอกลวงก็คือคนเกาหลีใต้ด้วยกันเอง
  • When (เมื่อไหร่) ปัญหานี้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และข้อมูลล่าสุดจากทางการเกาหลีใต้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (ตุลาคม 2025)
  • Where (ที่ไหน) ในเมืองต่างๆ ของประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะเมืองที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น สีหนุวิลล์ และบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมักเป็นพื้นที่ที่กฎหมายเข้าถึงได้ยาก
  • Why (ทำไม) องค์กรอาชญากรรมต้องการแรงงานที่พูดภาษาเกาหลีและเข้าใจวัฒนธรรมเกาหลี เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการหลอกลวงเหยื่อในประเทศเกาหลีใต้ ขณะเดียวกัน ภาวะว่างงานและความกดดันทางเศรษฐกิจในเกาหลีใต้ทำให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากตกเป็นเป้าหมายได้ง่าย
  • How (อย่างไร) เมื่อเหยื่อเดินทางถึงกัมพูชา พวกเขาจะถูกยึดหนังสือเดินทางและโทรศัพท์มือถือทันที ถูกพาไปกักขังในอาคารที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ถูกบังคับให้ทำงานหนักเกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน หากทำยอดไม่ได้ตามเป้าจะถูกทุบตี ทำร้ายร่างกาย หรือแม้กระทั่งถูกขายต่อไปยังแก๊งอื่น

“พวกเขาบอกว่ามันเป็นงานการตลาด แต่พอไปถึง กลับยื่นสคริปต์หลอกลวงให้ผมอ่าน” คิม (นามสมมติ) หนึ่งในเหยื่อที่ได้รับการช่วยเหลือและให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Yonhap News “รอบตัวผมมีแต่คนคุมถือไม้เบสบอลและเครื่องช็อตไฟฟ้า เราถูกขังอยู่ในห้องนอนรวมกัน 10 กว่าคน มันเหมือนนรกบนดินชัดๆ”

Seoul says 1,000 South Koreans working in Cambodian scam centres, vows to  'bring them home'

ขนาดของวิกฤต ตัวเลขที่น่าตกใจและความท้าทายในการช่วยเหลือ

ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ที่เปิดเผยล่าสุด สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคมเป็นอย่างมาก

  • ประมาณการผู้ที่ยังติดค้าง เชื่อว่ามีชาวเกาหลีใต้มากกว่า 1,000 คน ที่ยังคงทำงานอยู่ในองค์กรอาชญากรรมเหล่านี้
  • ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ นับตั้งแต่ต้นปี 2024 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ได้รับการช่วยเหลือกลับประเทศแล้วเกือบ 550 ราย
  • ความซับซ้อนในการช่วยเหลือ ปฏิบัติการช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากแก๊งเหล่านี้มักตั้งฐานอยู่ในอาคารขนาดใหญ่ที่แฝงตัวเป็นกาสิโนหรือโรงแรม และมักได้รับความคุ้มครองจากผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ทำให้การเข้าตรวจค้นของเจ้าหน้าที่เป็นไปได้ยาก

นาย ลี ซัง-ฮวา (Lee Sang-hwa) เอกอัครราชทูตผู้รับผิดชอบภารกิจด้านชาวเกาหลีโพ้นทะเลและการกงสุล กล่าวในงานแถลงข่าวว่า “นี่คือสถานการณ์การค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานอย่างชัดเจน รัฐบาลกำลังทำงานร่วมกับทางการกัมพูชาอย่างใกล้ชิด แต่เครือข่ายเหล่านี้มีความซับซ้อนและเคลื่อนย้ายตลอดเวลา”

ภูมิรัฐศาสตร์ของอาชญากรรม ทำไมต้องเป็นกัมพูชา?

การที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติจำนวนมากเลือกใช้กัมพูชาและประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นฐานปฏิบัติการ มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง

  • เขตเศรษฐกิจพิเศษและพื้นที่สีเทา เมืองอย่างสีหนุวิลล์ ซึ่งได้รับการลงทุนจากต่างชาติมหาศาล มีการเติบโตของกาสิโนและธุรกิจออนไลน์อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด “พื้นที่สีเทา” ที่องค์กรอาชญากรรมสามารถแฝงตัวเข้าไปดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายได้ง่าย
  • ปัญหาการทุจริตและการบังคับใช้กฎหมาย รายงานจากองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งชี้ว่า ปัญหาการทุจริตในหมู่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเป็นอุปสรรคสำคัญในการปราบปรามองค์กรเหล่านี้ ซึ่งมักจะจ่ายสินบนเพื่อให้ได้รับการคุ้มครอง
  • การปราบปรามในประเทศอื่น หลังจากที่จีนและไทยเริ่มปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้องค์กรเหล่านี้จำนวนมากย้ายฐานปฏิบัติการมายังประเทศเพื่อนบ้านที่มีการบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวมกว่า

ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามชาติจาก Al Jazeera วิเคราะห์ว่า “นี่คือปรากฏการณ์ ‘ผลกระทบลูกโป่ง’ (Balloon Effect) เมื่อคุณกดปราบปรามที่จุดหนึ่ง อาชญากรรมก็จะไปโป่งออกที่จุดอื่นที่อ่อนแอกว่า ภูมิภาคแม่น้ำโขงได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของปฏิบัติการหลอกลวงระดับโลกไปแล้ว”

Outrage as 'student trafficked to Cambodia to work at scam call centre' dies

ผลกระทบต่อประเทศไทยและภูมิภาค (มุมมองเสริม)

แม้บทความนี้จะเน้นที่เหยื่อชาวเกาหลีใต้ แต่สถานการณ์นี้ก็ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทยเช่นกัน

  • ไทยในฐานะทางผ่าน บ่อยครั้งที่เหยื่อชาวเกาหลีใต้ถูกหลอกให้บินมาลงที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะถูกพาตัวข้ามชายแดนทางบกไปยังฝั่งกัมพูชา ทำให้ไทยกลายเป็นเส้นทางสำคัญในการลักลอบขนย้ายแรงงาน
  • เหยื่อชาวไทย คนไทยจำนวนมากก็ตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกัน ถูกหลอกไปทำงานและถูกกักขังในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กัมพูชาและเมียนมา สร้างปัญหาด้านความมั่นคงและมนุษยธรรมที่รัฐบาลไทยต้องเผชิญ
  • ความร่วมมือระดับภูมิภาค วิกฤตนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการยกระดับความร่วมมือระหว่างหน่วยงานตำรวจและหน่วยงานยุติธรรมของประเทศในกลุ่มอาเซียน รวมถึงประเทศคู่เจรจาอย่างเกาหลีใต้และจีน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองและปฏิบัติการปราบปรามร่วมกัน

บทสรุปและแนวทางข้างหน้า สงครามกับอาชญากรรมที่มองไม่เห็น

ชาวเกาหลีใต้ทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การเปิดโปงขบวนการค้ามนุษย์ชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชาครั้งนี้ เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งของปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังกัดกร่อนความมั่นคงและสวัสดิภาพของผู้คนทั่วทั้งภูมิภาค การแก้ไขปัญหานี้ต้องการมากกว่าแค่การช่วยเหลือเหยื่อเป็นรายบุคคล แต่ต้องเป็นการทลายเครือข่ายทั้งระบบ

แนวโน้มและมาตรการในอนาคต

  1. การกดดันทางการทูต รัฐบาลเกาหลีใต้คาดว่าจะเพิ่มแรงกดดันทางการทูตต่อรัฐบาลกัมพูชาให้ดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจังและโปร่งใสมากขึ้น
  2. การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ มีความจำเป็นเร่งด่วนในการรณรงค์ให้ความรู้แก่คนหนุ่มสาวในเกาหลีใต้ให้ตระหนักถึงอันตรายของโฆษณารับสมัครงานที่เกินจริง
  3. ความร่วมมือระหว่างประเทศ การจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการร่วมระหว่างตำรวจเกาหลีใต้ กัมพูชา ไทย และประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะเป็นกุญแจสำคัญในการทลายเครือข่ายเหล่านี้
  4. การใช้กฎหมายฟอกเงิน การติดตามเส้นทางการเงินและใช้กฎหมายต่อต้านการฟอกเงินเพื่ออายัดทรัพย์สินของเครือข่าย จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการตัดท่อน้ำเลี้ยงขององค์กร

สงครามกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และองค์กรหลอกลวงออนไลน์เป็นสงครามที่ซับซ้อนและไร้พรมแดน ชะตากรรมของชาวเกาหลีใต้อีกกว่า 1,000 คนที่ยังติดค้างอยู่ ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของรัฐบาลและประชาคมระหว่างประเทศ ที่จะร่วมมือกันต่อสู้กับอาชญากรรมที่มองไม่เห็น แต่สร้างบาดแผลที่เจ็บปวดและลึกซึ้งให้กับเหยื่อและครอบครัวของพวกเขา

แหล่งที่มาจาก : am2con