ค่ำคืนอันเงียบสงบของวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ได้แปรเปลี่ยนเป็นความโกลาหลและหวาดกลัวในพริบตา เมื่อเกิดเหตุ แผ่นดินไหวฟิลิปปินส์ ขนาดใหญ่ถึง 7.4 แมกนิจูด โดยมีศูนย์กลางนอกชายฝั่งทางตะวันออกของ เกาะมินดาเนา แรงสั่นสะเทือนรุนแรงได้สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือการประกาศ เตือนภัยสึนามิ ในทันที บีบให้ประชาชนนับแสนชีวิตต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบาก ท่ามกลางอาฟเตอร์ช็อกที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นบททดสอบขีดความสามารถในการจัดการภัยพิบัติของฟิลิปปินส์ แต่ยังเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงพลังอำนาจของธรรมชาติบนพื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของ วงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
เผยรายละเอียดแผ่นดินไหว อะไร ที่ไหน และทำไมจึงรุนแรง
สถาบันภูเขาไฟและแผ่นดินไหววิทยาแห่งฟิลิปปินส์ (PHIVOLCS) และสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS) รายงานตรงกันถึงรายละเอียดของแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์นี้
- เวลาเกิดเหตุ ประมาณ 2237 น. ตามเวลาท้องถิ่น
- ขนาด 7.4 แมกนิจูด
- ศูนย์กลาง ในทะเล ห่างจากชายฝั่งจังหวัดซูรีเกาเดลซูร์ (Surigao del Sur) ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
- ความลึก ประมาณ 25 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นแผ่นดินไหวระดับตื้น (Shallow Earthquake) ทำให้พลังงานถูกส่งมาถึงพื้นผิวโลกได้อย่างรุนแรงและสร้างความเสียหายได้มากกว่าแผ่นดินไหวที่ลึกกว่า
สาเหตุของแผ่นดินไหวครั้งนี้คืออะไร? ศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ใกล้กับ ร่องลึกฟิลิปปินส์ (Philippine Trench) ซึ่งเป็นเขตมุดตัวของเปลือกโลกที่แผ่นเปลือกโลกทะเลฟิลิปปินส์กำลังเคลื่อนที่เข้าใต้แผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย การสะสมความเครียดเป็นเวลานานได้นำไปสู่การปลดปล่อยพลังงานอย่างฉับพลัน ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมหาศาล และทำให้พื้นทะเลเกิดการเปลี่ยนแปลงในแนวดิ่ง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิ
“วิ่งขึ้นที่สูง!” การแข่งขันกับเวลาหลังเสียงไซเรนเตือนภัยสึนามิดังขึ้น
ทันทีหลังเกิดแผ่นดินไหว ศูนย์เตือนภัยสึนามิในแปซิฟิก (PTWC) และ PHIVOLCS ได้ออกประกาศเตือนภัยสึนามิในระดับสูงสุดสำหรับพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดซูรีเกาเดลซูร์และดาเวาโอเรียนทัล (Davao Oriental) โดยคาดการณ์ว่าอาจมีคลื่นสูงถึง 3 เมตรซัดเข้าชายฝั่ง พร้อมทั้งเตือนภัยในระดับที่ต่ำกว่าสำหรับพื้นที่ชายฝั่งอื่น ๆ ของฟิลิปปินส์ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย ปาเลา และญี่ปุ่น
ภาพที่เกิดขึ้นตามมาคือความโกลาหลอลหม่าน ประชาชนที่ยังคงตื่นตระหนกจากแรงสั่นสะเทือนต้องรีบคว้าของใช้ที่จำเป็นและอพยพออกจากบ้านเรือนเพื่อมุ่งหน้าไปยังพื้นที่สูง เสียงไซเรนเตือนภัย การประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง และการแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพร้อมกัน “พื้นดินยังสั่นไม่หยุด แต่เราไม่มีเวลาให้กลัว เราต้องพาลูก ๆ และพ่อแม่ที่แก่แล้วหนีขึ้นเขาให้เร็วที่สุด” มาเรีย ซานโตส ผู้อยู่อาศัยในเมืองฮินาตวน (Hinatuan) กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์สผ่านทางโทรศัพท์
ความท้าทายของการอพยพในภาวะวิกฤต
- ความมืด การอพยพในเวลากลางคืนเป็นไปด้วยความยากลำบาก
- อาฟเตอร์ช็อก (Aftershock) เกิดอาฟเตอร์ช็อกรุนแรงตามมาหลายครั้ง ขนาดสูงสุดถึง 6.5 แมกนิจูด สร้างความเสียหายเพิ่มเติมและเพิ่มความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชน
- โครงสร้างพื้นฐานเสียหาย ถนนบางสายเกิดรอยแยกและมีเศษซากอาคารกีดขวาง ทำให้การจราจรติดขัดและการเดินทางล่าช้า
ประเมินความเสียหายเบื้องต้น ผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน
ขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ภัยสึนามิ ความเสียหายจากตัวแผ่นดินไหวเองก็เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ รายงานเบื้องต้นจากสำนักงานป้องกันภัยพลเรือนแห่งชาติ (NDRRMC) ระบุถึง แผ่นดินไหวฟิลิปปินส์ล่าสุดมีผลกระทบอะไรบ้าง ดังนี้
- อาคารบ้านเรือน บ้านเรือนจำนวนมาก โดยเฉพาะที่สร้างไม่ได้มาตรฐานในพื้นที่ชนบท พังทลายหรือเสียหายอย่างหนัก
- โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ โรงเรียน โรงพยาบาล และอาคารราชการบางแห่งปรากฏรอยร้าวขนาดใหญ่ สะพานบางแห่งถูกประกาศปิดเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย
- ไฟฟ้าดับและสัญญาณสื่อสารขัดข้อง เกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ ทำให้การสื่อสารและการประสานงานช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบาก
- ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต มีรายงานผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเบื้องต้น ซึ่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเร่งเข้าให้ความช่วยเหลือและค้นหาผู้ที่อาจติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง
การตอบสนองของรัฐบาลและนานาชาติ ความช่วยเหลือเริ่มหลั่งไหล
ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดระดมกำลังเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ โดยมีกองทัพและตำรวจเป็นหน่วยงานหลักในการอำนวยความสะดวกการอพยพและรักษาความสงบเรียบร้อย
“ภารกิจสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการช่วยชีวิตประชาชน” โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีกล่าว “เราได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการสถานการณ์ฉุกเฉินและกำลังประเมินความต้องการเร่งด่วนที่สุด ทั้งที่พักพิงชั่วคราว อาหาร และเวชภัณฑ์”
ในขณะเดียวกัน หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แสดงความเสียใจและเสนอ ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวฟิลิปปินส์ ทั้งในด้านบุคลากรและสิ่งของบรรเทาทุกข์ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในยามวิกฤต
บทสรุป ตื่นตัวเสมอในดินแดนแห่งวงแหวนแห่งไฟ
ในที่สุด หลังผ่านไปหลายชั่วโมงแห่งความตึงเครียด ศูนย์เตือนภัยสึนามิก็ได้ยกเลิกประกาศเตือนภัย หลังจากตรวจพบเพียงคลื่นขนาดเล็กซัดเข้าชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ แผ่นดินไหวฟิลิปปินส์ ครั้งนี้ได้จบลงพร้อมกับบทเรียนครั้งสำคัญ มันคือเครื่องเตือนใจว่าฟิลิปปินส์และประเทศอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่บน วงแหวนแห่งไฟ ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรณีวิทยาตลอดเวลา
การลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพ การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับ วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ และการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคารที่เข้มงวด คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความสูญเสียในอนาคต แม้คืนนี้ฝันร้ายจะผ่านพ้นไป แต่สำหรับชาวฟิลิปปินส์บนเกาะมินดาเนา การฟื้นฟูและสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่ท่ามกลางซากปรักหักพังเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
แหล่งที่มาจาก : am2con