แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2.0 เมื่อ AI ปลอมเสียงคนที่คุณรัก สงครามไซเบอร์ครั้งใหม่ที่คนไทยต้องรู้ทัน

แก๊งคอลเซ็นเตอร์

คำเตือนภัยเกี่ยวกับ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่คุณเคยได้ยินอาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป เพราะวันนี้ ภัยคุกคามได้วิวัฒนาการเข้าสู่ยุค 2.0 ที่น่าสะพรึงกลัวและแนบเนียนกว่าเดิมหลายเท่าตัว เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติไม่ได้มีเพียงข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหล แต่พวกเขามี “เสียง” ของลูกคุณ และ “ใบหน้า” ของเจ้านายคุณอยู่ในมือ ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถปลอมแปลงเสียง (Voice Cloning) และสร้างวิดีโอปลอม (Deepfake) ได้อย่างสมจริง นี่คือแนวรบใหม่ของสงครามไซเบอร์ที่คนไทยทุกคนคือเป้าหมาย เป็นสมรภูมิที่ “AI ของโจร” กำลังต่อสู้กับ “AI ของตำรวจและธนาคาร” บทความนี้จะเจาะลึกถึงกลโกงสุดอันตรายรูปแบบใหม่, วิธีสังเกตและป้องกันตัว และภาพรวมของสงครามเทคโนโลยีที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่เบื้องหลังเพื่อปกป้องเงินในบัญชีของคุณ

เตือนภัย “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” หลอกให้โอนเงิน

จาก “ตำรวจปลอม” สู่ “ลูกปลอม” วิวัฒนาการสุดอันตรายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ในอดีต กลโกงคลาสสิกของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือการสวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ, พนักงานไปรษณีย์ หรือเจ้าหน้าที่สรรพากร แต่คนส่วนใหญ่เริ่มรู้ทันและจับพิรุธจาก “สำเนียง” หรือ “ข้อมูลที่ไม่ตรง” ได้ แต่ในปัจจุบัน (ปี 2568) อาชญากรได้ก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านั้นไปแล้ว

เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นเครื่องมือเปลี่ยนเกม ทำให้เกิดกลโกงรูปแบบใหม่ที่โจมตีเข้าที่ “หัวใจ” และ “ความไว้วางใจ” ของเหยื่อโดยตรง

ถอดรหัสเทคโนโลยีปีศาจ AI Voice Cloning และ Deepfake ทำงานอย่างไร?

เทคโนโลยีที่เคยอยู่ในภาพยนตร์ไซไฟได้กลายเป็นความจริงที่เข้าถึงได้ง่ายและมีราคาถูกลงมาก

  • AI Voice Cloning (การโคลนนิ่งเสียง) อาชญากรต้องการไฟล์เสียงของคุณหรือคนในครอบครัวคุณเพียงเล็กน้อย (อาจได้มาจากคลิปในโซเชียลมีเดีย, TikTok, หรือการโทรมาคุยหลอกล่อเพื่อเก็บตัวอย่างเสียง) จากนั้นนำไปป้อนให้ AI เรียนรู้และสังเคราะห์เสียงพูดขึ้นมาใหม่ สามารถพูดประโยคใดก็ได้ด้วยน้ำเสียง, สำเนียง และโทนอารมณ์ที่เหมือนเจ้าของเสียงตัวจริงจนแทบแยกไม่ออก
  • Deepfake (วิดีโอสังเคราะห์) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ AI ในการสลับใบหน้าในวิดีโอได้อย่างแนบเนียน อาชญากรสามารถนำภาพใบหน้าของบุคคลเป้าหมาย (เช่น ผู้บริหารบริษัท) มาสร้างเป็นวิดีโอคอลปลอมที่กำลังพูดคุยและออกคำสั่งได้อย่างสมจริง

เปิดกลโกงใหม่ กรณีศึกษาจากเรื่องจริงของเหยื่อ

เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ถูกนำมาสร้างเป็นสถานการณ์หลอกลวงที่น่าเชื่อถือและบีบคั้นอารมณ์อย่างยิ่ง

“แม่…ช่วยด้วย!” กลโกงลักพาตัวปลอมที่แนบเนียนที่สุด

นางสมจิตร (นามสมมติ) พนักงานบริษัทในกรุงเทพฯ ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย แต่เสียงที่กรีดร้องออกมาจากปลายสายคือเสียงของลูกสาววัย 15 ปีของเธอที่กำลังร้องไห้และตะโกนว่า “แม่…ช่วยด้วย หนูถูกจับตัวมา!” จากนั้นเสียงผู้ชายก็แทรกเข้ามาขู่เรียกค่าไถ่เป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมกับมีเสียงลูกสาวร้องไห้แทรกเป็นระยะ ด้วยความตกใจและเชื่ออย่างสนิทใจว่าเป็นเสียงลูกสาวจริงๆ เธอจึงรีบโอนเงินทั้งหมดที่มีในบัญชีไปให้คนร้าย ก่อนจะพบในเวลาต่อมาว่าลูกสาวยังคงเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนตามปกติ นี่คือผลงานของ AI Voice Cloning ที่สร้างสถานการณ์บีบหัวใจจนเหยื่อไม่มีเวลาไตร่ตรอง

“ผู้บริหารปลอม” เมื่อเจ้านายสั่งโอนเงินผ่านวิดีโอคอล

ฝ่ายการเงินของบริษัทแห่งหนึ่ง ได้รับคำสั่งด่วนผ่านแอปพลิเคชันสนทนาจาก “CEO” ให้ทำการโอนเงินจำนวน 5 ล้านบาทไปยังบัญชีของซัพพลายเออร์รายใหม่ทันที เพื่อป้องกันข้อสงสัย CEO ได้ทำการ “วิดีโอคอล” เข้ามาเพื่อยืนยันคำสั่งด้วยตนเอง พนักงานเห็นใบหน้าและได้ยินเสียงของ CEO อย่างชัดเจนจึงทำการโอนเงินไป แต่ภายหลังกลับพบว่าเป็นการหลอกลวงโดยใช้เทคโนโลยี Deepfake ซึ่งคนร้ายได้นำวิดีโอเก่าของ CEO มาสร้างเป็นวิดีโอคอลปลอมขึ้น

รู้ไว้ไม่ตุย ... วิธีรับมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ - ENRICH

สงคราม AI vs AI เกราะป้องกันใหม่จากภาครัฐและธนาคาร

เมื่ออาชญากรใช้ AI เป็นอาวุธ ฝ่ายป้องกันก็ต้องใช้ AI เป็นเกราะ ตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.) ร่วมกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และสมาคมธนาคารไทย ได้ยกระดับการต่อสู้ด้วยการพัฒนาระบบป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่นกัน

  • ระบบตรวจจับธุรกรรมน่าสงสัยแบบเรียลไทม์ (Real-time Fraud Detection) ธนาคารต่างๆ ได้นำ AI มาวิเคราะห์พฤติกรรมการทำธุรกรรมของลูกค้าหลายพันล้านรายการ เพื่อหารูปแบบที่ผิดปกติ เช่น การโอนเงินไปยัง บัญชีม้า ที่ไม่เคยทำมาก่อน, การโอนเงินจำนวนมากในเวลาที่ผิดปกติ หรือการโอนเงินทันทีหลังได้รับสายจากเบอร์โทรศัพท์ต้องสงสัย หากระบบตรวจพบความเสี่ยงสูง อาจมีการระงับธุรกรรมชั่วคราวและแจ้งเตือนไปยังลูกค้าทันที
  • ฐานข้อมูลกลางบัญชีม้าและเบอร์โทรศัพท์มิจฉาชีพ มีการสร้างฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงกันระหว่างธนาคารและตำรวจ เพื่อให้สามารถขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) บัญชีม้าและเบอร์โทรศัพท์ของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบัญชีเหล่านี้ ระบบ AI จะแจ้งเตือนได้ทันที

วิธีเอาตัวรอดในยุค AI ตั้งสติ ถาม และตรวจสอบ

แม้เทคโนโลยีป้องกันจะดีขึ้น แต่เกราะป้องกันที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง นี่คือแนวทางปฏิบัติเพื่อ รู้ทันกลโกง ในยุค AI

  • ตั้งสติ…อย่าเพิ่งเชื่อ ไม่ว่าเสียงปลายสายจะเหมือนคนในครอบครัวแค่ไหน หรือภาพในวิดีโอคอลจะเหมือนเจ้านายเพียงใด สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “ตั้งสติ” และ “ตั้งข้อสงสัย” ไว้ก่อนเสมอ
  • วางสาย แล้วโทรกลับ หากได้รับสายฉุกเฉินจากคนที่คุณรัก ให้วางสายทันที แล้วโทรกลับไปยัง “เบอร์โทรศัพท์เดิม” ของบุคคลนั้นที่คุณบันทึกไว้ด้วยตนเอง ห้ามโทรกลับเบอร์ที่มิจฉาชีพใช้โทรมาเด็ดขาด
  • สร้าง “คำถามนิรภัย” (Safety Question) ตกลงกับคนในครอบครัวถึง “คำถามส่วนตัว” ที่มีเพียงพวกคุณเท่านั้นที่รู้คำตอบ เช่น “แมวตัวแรกของเราชื่ออะไร?” หรือ “เราไปเที่ยวทะเลครั้งล่าสุดที่ไหน?” หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ให้ใช้คำถามนี้เพื่อยืนยันตัวตน
  • สังเกตความผิดปกติในวิดีโอคอล แม้ Deepfake จะสมจริง แต่ก็อาจมีข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เช่น การกะพริบตาที่ไม่เป็นธรรมชาติ, สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ หรือริมฝีปากที่ขยับไม่ตรงกับเสียงเล็กน้อย
  • ตรวจสอบคำสั่งที่ผิดปกติ หากได้รับคำสั่งให้โอนเงินอย่างเร่งด่วนและผิดปกติจากผู้บังคับบัญชา ให้ทำการตรวจสอบโดยการโทรศัพท์หรือเดินไปพูดคุยกับบุคคลนั้นโดยตรง

รู้ไว้ไม่ตุย ... วิธีรับมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ - ENRICH

บทสรุป อนาคตของความปลอดภัยไซเบอร์อยู่ในมือคุณ

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ใช้ AI เป็นอาวุธ คือภัยคุกคามที่น่ากลัวที่สุดในยุคดิจิทัล เพราะมันโจมตีที่ความรักและความไว้วางใจที่เรามีต่อกัน สงครามระหว่าง AI ของอาชญากรและ AI ของฝ่ายป้องกันจะยังคงดำเนินต่อไปและซับซ้อนยิ่งขึ้น แต่ในสนามรบนี้ พลเมืองทุกคนคือทหารคนสำคัญ การมี “สติ” และ “ความรู้เท่าทัน” คือสุดยอดอาวุธที่จะปกป้องเราและคนรอบข้างให้รอดพ้นจากกลลวงที่แนบเนียนที่สุดในประวัติศาสตร์ได้

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *