นานกว่า 133 ปี ที่ “กระทรวงมหาดไทย” หรือ “กระทรวงสิงห์” ยืนหยัดในฐานะเสาหลักที่ค้ำจุนโครงสร้างรัฐรวมศูนย์ของไทย อำนาจของ “สิงห์คลองหลอด” แผ่ขยายไปทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศผ่านกลไกผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ แต่ ณ วันนี้ “ราชสีห์” ตนนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งกระทรวง เมื่อเสียงเรียกร้อง “การกระจายอำนาจ” ดังกึกก้องขึ้นกว่าครั้งไหนๆ โดยมีข้อเสนอ “เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด” เป็นหัวหอก ขณะเดียวกัน โลกยุคดิจิทัลก็บีบให้ยักษ์ใหญ่ที่อุ้ยอ้ายต้องเร่งปฏิรูปตัวเองเพื่อความอยู่รอด นี่คือบทวิเคราะห์เชิงลึกถึงภาวะบนทางสามแพร่งของกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องเลือกระหว่างการรักษาอำนาจแบบดั้งเดิมกับการปรับตัวสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง
“บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” รากฐานอำนาจและภารกิจที่ครอบคลุมทุกมิติ
เพื่อเข้าใจความท้าทายในปัจจุบัน เราจำเป็นต้องเข้าใจถึงรากฐานอำนาจอันมหาศาลของ กระทรวงมหาดไทย เสียก่อน กระทรวงแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อรวบรวมอำนาจการปกครองหัวเมืองต่างๆ เข้าสู่ส่วนกลาง สร้างเอกภาพและความมั่นคงให้กับรัฐชาติสมัยใหม่ ภารกิจของกระทรวงจึงครอบคลุมแทบทุกมิติของชีวิตประชาชน ตั้งแต่เกิดจนตาย ผ่านหน่วยงานในสังกัดมากมาย เช่น
- กรมการปกครอง ดูแลงานทะเบียนราษฎร, บัตรประจำตัวประชาชน และการบริหารราชการส่วนภูมิภาค (ผู้ว่าฯ, นายอำเภอ)
- กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำกับดูแล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ
- กรมที่ดิน ดูแลเรื่องเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน
- กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รับมือกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ
อำนาจที่แผ่ไพศาลนี้ทำให้กระทรวงมหาดไทยเป็นกลไกที่สำคัญที่สุดของรัฐในการนำนโยบายจากส่วนกลางไปปฏิบัติในพื้นที่ และเป็นที่มาของคำขวัญอันโด่งดังว่า “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”
สมรภูมิที่ 1 การปะทะกันของ “ผู้ว่าฯ แต่งตั้ง” vs “ผู้ว่าฯ เลือกตั้ง”
นี่คือสมรภูมิทางความคิดที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ และเป็นการท้าทายต่อหัวใจของอำนาจ กระทรวงมหาดไทย โดยตรง
ฝ่ายหนุน “แต่งตั้ง” ความมั่นคงและเอกภาพของชาติ
กลุ่มผู้สนับสนุนระบบ ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่มาจากการแต่งตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย ให้เหตุผลว่าระบบนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการรักษาเอกภาพและความมั่นคงของชาติ
- ตัวแทนรัฐบาลกลาง ผู้ว่าฯ แต่งตั้งคือผู้ที่นำนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วประเทศ ป้องกันสภาวะ “ต่างคนต่างทำ”
- บูรณาการทุกหน่วยงาน ผู้ว่าฯ มีอำนาจในการสั่งการและบูรณาการการทำงานของหน่วยงานราชการทุกกระทรวงในจังหวัด ทำให้การแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะในภาวะวิกฤตเป็นไปอย่างมีเอกภาพ
- ป้องกันอิทธิพลท้องถิ่น การแต่งตั้งจากส่วนกลางช่วยป้องกันไม่ให้กลุ่มอิทธิพลหรือ “เจ้าพ่อ” ในพื้นที่เข้ามาครอบงำตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของจังหวัดผ่านการเลือกตั้ง
“ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ใช่แค่ผู้บริหาร แต่เป็นเสาหลักของความมั่นคงที่เชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลกับประชาชนในพื้นที่ การรักษาเอกภาพในการบังคับบัญชาคือสิ่งจำเป็นเพื่อประโยชน์ของประเทศโดยรวม” – แหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงมหาดไทย
ฝ่ายหนุน “เลือกตั้ง” การตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น
ในทางกลับกัน กระแสสังคมที่เรียกร้องให้มีการ เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด มีเหตุผลที่แข็งแกร่งไม่แพ้กัน
- ยึดโยงกับประชาชน ผู้ว่าฯ ที่มาจากการเลือกตั้งจะมีความรับผิดชอบและยึดโยงกับประชาชนในพื้นที่โดยตรง เพราะหากทำงานไม่ดีก็อาจไม่ได้รับเลือกกลับมาอีกในสมัยหน้า
- ตอบสนองปัญหาอย่างแท้จริง ผู้ว่าฯ เลือกตั้งจะสามารถกำหนดนโยบายและใช้งบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาที่ตรงกับความต้องการของคนในจังหวัดได้อย่างอิสระ ไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง
- ส่งเสริมประชาธิปไตยฐานราก เป็นการกระจายอำนาจการตัดสินใจสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง ทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของจังหวัดและมีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น
การถกเถียงนี้คือภาพสะท้อนของการต่อสู้ระหว่างแนวคิด “รัฐรวมศูนย์” แบบดั้งเดิม กับแนวคิด “รัฐกระจายอำนาจ” สมัยใหม่ ซึ่ง กระทรวงมหาดไทย คือศูนย์กลางของสมรภูมินี้
สมรภูมิที่ 2 การปฏิรูปสู่ “มหาดไทยดิจิทัล” ความหวังหรือความท้าทาย?
อีกหนึ่งสมรภูมิที่ กระทรวงมหาดไทย ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คือการปฏิรูปองค์กรให้ทันต่อโลกยุคดิจิทัล ความคาดหวังของประชาชนต่อบริการภาครัฐได้เปลี่ยนไป พวกเขาต้องการความสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส ซึ่งท้าทายระบบราชการแบบเดิมอย่างมาก
ThaiD และบริการออนไลน์ ก้าวที่สำคัญแต่ยังไม่ทั่วถึง?
กระทรวงมหาดไทยได้พยายามปรับตัวด้วยการเปิดตัวแอปพลิเคชัน ThaiD (ไทยดี) และบริการออนไลน์ต่างๆ
- แอปฯ ThaiD เป็นความพยายามในการสร้าง “บัตรประชาชนดิจิทัล” และรวมบริการงานทะเบียนราษฎรเข้ามาไว้ในมือถือ เพื่อให้ประชาชนสามารถยืนยันตัวตนและทำธุรกรรมบางอย่างได้โดยไม่ต้องไปที่สำนักงานเขตหรืออำเภอ
- บริการออนไลน์ของกรมที่ดิน เช่น แอปฯ LandsMaps ที่ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบรูปแปลงที่ดินและราคาประเมินได้
แม้จะเป็นก้าวที่สำคัญ แต่ความท้าทายยังคงมีอยู่มาก ทั้งในเรื่องความเสถียรของระบบ, การเข้าถึงของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่ยังไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี และการที่บริการสำคัญๆ ส่วนใหญ่ยังคงต้องเดินทางไปติดต่อที่สำนักงานด้วยตนเองอยู่ดี การปฏิรูปจึงยังคงเป็นการเดินทางที่อีกยาวไกล
เสียงสะท้อนจากท้องถิ่น เมื่อ “ส่วนกลาง” ไม่เข้าใจ “ส่วนภูมิภาค”
ปัญหาสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอในการถกเถียงเรื่อง การกระจายอำนาจ คือมุมมองที่ว่า นโยบายที่ออกแบบโดย “ส่วนกลาง” ในกรุงเทพฯ มักจะไม่สอดคล้องกับบริบทและความต้องการที่แท้จริงของ “ส่วนภูมิภาค” และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
นายก อบจ. และนายกเทศมนตรีหลายแห่งสะท้อนปัญหาว่า พวกเขาซึ่งมาจากการเลือกตั้งและใกล้ชิดกับประชาชนที่สุด กลับมีอำนาจและงบประมาณที่จำกัด หลายโครงการต้องติดขัดเพราะระเบียบของกระทรวงมหาดไทย หรือต้องรอการอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด ทำให้การแก้ไขปัญหาให้ประชาชนขาดความคล่องตัว
อนาคตของราชสีห์ ทางรอดคือการปรับตัวหรือการรักษาอำนาจ?
กระทรวงมหาดไทย กำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทางเลือกหนึ่งคือการพยายามรักษาสถานะและโครงสร้างอำนาจแบบเดิมไว้ให้เหนียวแน่นที่สุด โดยชูเรื่องความมั่นคงและเอกภาพเป็นธงนำ
แต่อีกทางเลือกหนึ่งซึ่งอาจเป็นทางรอดที่ยั่งยืนกว่า คือการ “ปล่อยวาง” อำนาจบางอย่างลงอย่างกล้าหาญ ปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเองจาก “ผู้ควบคุม” มาเป็น “ผู้สนับสนุนและกำกับดูแล” องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้มแข็งและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับเร่งปฏิรูปการให้บริการสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
การตัดสินใจว่าจะเดินไปในทิศทางใด จะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของ “ราชสีห์” ตนนี้ ว่าจะยังคงเป็นผู้พิทักษ์ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในศตวรรษที่ 21 ได้ต่อไป หรือจะกลายเป็นเพียงอนุสาวรีย์ของอำนาจแบบรวมศูนย์ในอดีตที่เสื่อมถอยไปตามกาลเวลา
แหล่งที่มาจาก : am2con