เจ็ดเดือนหลังการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ สู่ทำเนียบขาว “พายุทอร์นาโดแห่งกำแพงภาษี” ที่เขาเคยลั่นวาจาไว้ได้พัดถล่มเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรงตามคาด และสำหรับประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นลมหายใจหลัก นโยบาย “ภาษีทรัมป์ 2.0” นี้ไม่ใช่แค่ข่าวต่างประเทศ แต่คือความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นจริงตรงหน้า บทวิเคราะห์ชิ้นนี้จะเจาะลึกถึงความเป็นจริงแบบ “ดาบสองคม” ที่ภาคธุรกิจไทยต้องเผชิญหน้า คมดาบแรกคือความเจ็บปวดจากกำแพงภาษีสากลที่ฟันลงบนสินค้า “Made in Thailand” ทุกชิ้น และคมดาบที่สองคือการเดิมพันครั้งใหญ่ในสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนรอบใหม่ ที่อาจฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยให้จมดิ่งไปกับห่วงโซ่อุปทานที่พังทลาย หรืออาจพลิกให้ไทยกลายเป็น “ตาอยู่” ที่คว้าโอกาสทองจากการย้ายฐานการผลิตครั้งประวัติศาสตร์
ภาษีทรัมป์ “America First” คัมแบ็ก ทรัมป์เปิดฉากสงครามการค้ารอบใหม่
ตามแนวนโยบาย “America First” ที่เคยใช้ในสมัยแรก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษทางการค้าเพื่อปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์การค้าโลกครั้งใหญ่ โดยมีมาตรการสำคัญ 2 ประการที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง
- กำแพงภาษีพื้นฐานสากล (Universal Baseline Tariff) สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในอัตรา 10% กับสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลกโดยไม่มีข้อยกเว้น โดยให้เหตุผลว่าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและสร้างความเป็นธรรมทางการค้า
- กำแพงภาษีตอบโต้จีน (Punitive China Tariff) กำหนดอัตราภาษีศุลกากรสูงถึง 60% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยเฉพาะ เพื่อลงโทษจีนในประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรม การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และเพื่อกดดันให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานการผลิตกลับประเทศหรือออกจากจีน
มาตรการคู่ขนานนี้ได้จุดชนวน สงครามการค้า รอบใหม่ที่รุนแรงและซับซ้อนกว่าครั้งก่อน และสำหรับประเทศไทยซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งกับทั้งสหรัฐฯ และจีน ผลกระทบจึงเกิดขึ้นในหลายมิติ
คมดาบที่ 1 ผลกระทบโดยตรงต่อสินค้า “Made in Thailand”
สหรัฐอเมริกาคือตลาดส่งออกอันดับ 1 หรือ 2 ของไทยมาโดยตลอด การเจอกำแพงภาษี 10% ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ราคาสินค้าไทยสูงขึ้น สินค้าไทยที่วางขายในสหรัฐฯ จะมีราคาสูงขึ้นทันที 10% ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงเมื่อเทียบกับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ เอง
- กลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบหนัก
- ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทยไปสหรัฐฯ จะเผชิญกับการแข่งขันที่ยากลำบาก
- ผลิตภัณฑ์ยางและยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์และยางรถยนต์ที่ไทยเป็นผู้ผลิตรายสำคัญจะได้รับผลกระทบเต็มๆ
- อาหารแปรรูป สินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความหวังในการส่งออก จะมีต้นทุนสูงขึ้นในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ
ผู้ส่งออกไทยจึงต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก ระหว่างการแบกรับต้นทุนภาษีไว้เองซึ่งจะทำให้กำไรลดลง หรือผลักภาระไปให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันซึ่งอาจทำให้ยอดขายลดลง
คมดาบที่ 2 วิกฤตและโอกาสในสงครามสหรัฐฯ-จีน
ผลกระทบที่ซับซ้อนและอาจชี้ขาดชะตากรรมของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว คือผลพวงจากกำแพงภาษี 60% ที่สหรัฐฯ ตั้งขึ้นกับจีน
วิกฤตห่วงโซ่อุปทาน เมื่อจีนจาม ไทยก็เป็นหวัด
เศรษฐกิจไทยผูกติดอยู่กับ ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของจีนอย่างแน่นแฟ้น สินค้าจำนวนมากที่ไทยผลิตไม่ได้ถูกส่งไปขายที่สหรัฐฯ โดยตรง แต่ถูกส่งไปเป็น “สินค้าขั้นกลาง” เพื่อประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปในจีนก่อน แล้วจึงส่งออกไปยังสหรัฐฯ อีกทอดหนึ่ง
- อิเล็กทรอนิกส์ แผงวงจร, ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์จากไทย เป็นหัวใจสำคัญของสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ที่ประกอบในจีน
- ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์จากไทยถูกส่งไปประกอบในโรงงานรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน
เมื่อสินค้าสำเร็จรูปจากจีนโดนกำแพงภาษี 60% จนไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ โรงงานในจีนย่อมลดกำลังการผลิตลง และนั่นหมายถึง อุปสงค์ต่อชิ้นส่วนจากประเทศไทยจะหายไปมหาศาล นี่คือวิกฤตที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันคือการพังทลายของโมเดลธุรกิจที่ไทยใช้มานานหลายทศวรรษ
โอกาสจากการย้ายฐาน ไทยจะกลายเป็น “ตาอยู่” ได้หรือไม่?
ในวิกฤตย่อมมีโอกาส กำแพงภาษี 60% ทำให้การผลิตในจีนเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่คุ้มค่าอีกต่อไป บริษัทข้ามชาติและแม้แต่บริษัทจีนเอง จำเป็นต้องมองหาฐานการผลิตแห่งใหม่ในประเทศอื่นเพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีนี้ และประเทศไทยคือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด
- ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไทยมีความพร้อมทั้งในด้านนิคมอุตสาหกรรม, ระบบโลจิสติกส์ และแรงงานมีฝีมือ
- นโยบายส่งเสริมการลงทุน รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่พร้อมมอบสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดนักลงทุนกลุ่มนี้
- ที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ
หากประเทศไทยสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ เราอาจได้เห็นการลงทุนระลอกใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์ไฟฟ้า, และเครื่องมือแพทย์ ซึ่งจะเป็นการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
“นี่คือช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สุดของผู้ประกอบการไทย เราต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าตลาดเก่ากำลังจะหายไป แต่ในขณะเดียวกัน ประตูสู่โอกาสใหม่ก็กำลังเปิดออก ใครปรับตัวได้เร็วกว่า มีข้อมูลดีกว่า และกล้าที่จะลงทุนเปลี่ยนแปลง คนนั้นคือผู้ชนะ” – ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (สมมติ)
เสียงจากภาคเอกชนและท่าทีรัฐบาลไทย
ภาคเอกชนไทยกำลังปรับตัวครั้งใหญ่ มีการแสวงหาตลาดใหม่ๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ, การพยายามลดต้นทุนการผลิตเพื่อชดเชยผลกระทบจากภาษี และที่สำคัญคือการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างชาติที่ต้องการย้ายฐานออกจากจีน
ในขณะที่ภาครัฐ โดย กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังทำงานอย่างหนักในสองแนวทาง
- การเจรจาทางการทูต พยายามเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอลดหย่อนผลกระทบในบางกลุ่มสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและไม่ได้เป็นการแข่งขันกับอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ โดยตรง
- การส่งเสริมเชิงรุก จัดทำมาตรการ “Thailand Plus” เพื่อดึงดูดการลงทุน ทั้งการลดแลกแจกแถมสิทธิประโยชน์ทางภาษี, การอำนวยความสะดวกในการจัดตั้งธุรกิจ และการพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย
บทสรุป เดิมพันอนาคตบนความไม่แน่นอน
นโยบาย ภาษีทรัมป์ ได้โยนเศรษฐกิจไทยเข้าสู่สมการที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาเป็น “วิกฤต” หรือ “โอกาส” ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องมีวิสัยทัศน์และนโยบายที่เฉียบคม และภาคเอกชนที่ต้องมีความกล้าหาญในการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจ
อนาคตการส่งออกของไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า จะไม่ได้ถูกกำหนดด้วยคุณภาพของสินค้าเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะถูกกำหนดด้วยความสามารถในการอ่านเกมการเมืองโลก, การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน และการคว้าโอกาสที่ซ่อนอยู่ในทุกวิกฤต ซึ่งนี่คือบททดสอบครั้งสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจไทยในยุคที่โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con