ฮุน มาเนต 2 ปีแห่งการสร้าง “วีรกรรม” หรือเดินตามรอยบิดา?

ฮุน มาเนต

ครบ 2 ปีเต็มหลังการเปลี่ยนผ่านอำนาจครั้งประวัติศาสตร์ของกัมพูชา คำถามสำคัญที่ประเทศไทยและประชาคมโลกยังคงเฝ้าหาคำตอบ คือ พลเอก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เป็นผู้นำการปฏิรูปที่แท้จริง หรือเป็นเพียงผู้สืบทอดที่ดำเนินตามรอยเท้าของสมเด็จเดโช ฮุน เซน บิดาผู้ทรงอิทธิพลอย่างสมบูรณ์แบบ? ตลอด 730 วันที่ผ่านมา “วีรกรรม” ของเขาที่เด่นชัดที่สุดคือการขับเคลื่อน “ยุทธศาสตร์ปัญจมุม” (Pentagon Strategy) ซึ่งเป็นพิมพ์เขียวในการบริหารประเทศ บทความนี้คือรายงานเชิงลึกที่จะประเมินผลงาน 2 ปีแรกของ ฮุน มาเนต ว่าภาพลักษณ์ของผู้นำรุ่นใหม่ที่จบการศึกษาจากเวสต์พอยต์ จะสามารถนำพากัมพูชาไปสู่ทิศทางใหม่ได้จริงหรือไม่ และที่สำคัญ มันส่งผลกระทบต่ออนาคตความสัมพันธ์กับประเทศไทยอย่างไร

ฮุนมาเนตไม่ทน! สวนกลับไทยกล่าวหาเรื่องทุ่นระเบิด-พื้นที่พิพาท  ย้ำจุดยืนกัมพูชาไม่ยอมให้ใครละเมิด

จากเวสต์พอยต์สู่ทำเนียบ โปรไฟล์ผู้นำกัมพูชารุ่นใหม่

พลเอก ฮุน มาเนต มีโปรไฟล์ที่แตกต่างจากผู้นำรุ่นพ่ออย่างสิ้นเชิง เขาคือผลิตผลของการเตรียมการอย่างยาวนาน

  • การศึกษาจากตะวันตก เป็นชาวกัมพูชาคนแรกที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกเวสต์พอยต์ สหรัฐอเมริกา ก่อนจะคว้าปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริสตอล สหราชอาณาจักร
  • เส้นทางในกองทัพ เติบโตอย่างรวดเร็วในกองทัพบก ผ่านตำแหน่งสำคัญทั้งผู้บัญชาการหน่วยต่อต้านการก่อการร้าย และรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด
  • การเตรียมการในพรรค รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยยุวชนของพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ซึ่งเป็นการสร้างฐานอำนาจและเครือข่ายกับคนรุ่นใหม่ในพรรค

ภาพลักษณ์ของเขาคือผู้นำหนุ่มที่มีความรู้ความสามารถ พูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว มีความเข้าใจเศรษฐกิจสมัยใหม่และวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งสร้างความคาดหวังว่าจะนำพากัมพูชาไปสู่ความทันสมัยและเป็นสากลมากขึ้น

“ยุทธศาสตร์ปัญจมุม” พิมพ์เขียวสร้างชาติฉบับ ฮุน มาเนต

ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง ฮุน มาเนต ได้ประกาศใช้ “ยุทธศาสตร์ปัญจมุม-ระยะที่ 1” (Pentagon Strategy-Phase I) เป็นนโยบายหลักในการบริหารประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้กัมพูชากลายเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี พ.ศ. 2593 ประกอบด้วย 5 แกนหลัก หรือ “ปัญจมุม” ดังนี้

  • การพัฒนาทุนมนุษย์ เน้นการปฏิรูปการศึกษา, สาธารณสุข, และการฝึกอบรมทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล
  • การกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมสิ่งทอและการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว โดยหันไปส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูป, เกษตรสมัยใหม่ และเศรษฐกิจดิจิทัล
  • การพัฒนาภาคเอกชนและการจ้างงาน ปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่อดึงดูด การลงทุนต่างชาติ (FDI) และส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
  • การพัฒนาที่ยืดหยุ่น ยั่งยืน และครอบคลุม เน้นการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, การจัดการทรัพยากรน้ำและพลังงาน, และการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
  • การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลและภาครัฐที่ทันสมัย นำเทคโนโลยีมาใช้ในการปรับปรุงบริการภาครัฐให้โปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมประกาศทำสงครามกับการทุจริตในระดับปฏิบัติการ

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลของ ฮุน มาเนต ได้เดินหน้าผลักดันนโยบายเหล่านี้อย่างจริงจัง มีการจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจและออกกฎหมายใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกจากภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติ

ฮุน มาเนต กร้าวหาเองได้ หยุดซื้ออินเทอร์เน็ตจากไทยตั้งแต่คืนนี้

การทูตสไตล์ใหม่ รอยยิ้มที่แตกต่างบนเวทีโลก

อีกหนึ่ง “วีรกรรม” ที่เห็นได้ชัดคือการปรับเปลี่ยนสไตล์ทางการทูต ฮุน มาเนต เดินทางเยือนนานาประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในอาเซียน, จีน, สหรัฐฯ และยุโรป ด้วยท่าทีที่เป็นมิตรและเปิดกว้าง เน้นการ “สร้างสะพาน” และแสวงหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ มากกว่าการเผชิญหน้าทางการเมืองแบบที่ ฮุนเซน บิดาของเขาเคยใช้ในอดีต

สไตล์การทูตที่นุ่มนวลและเป็นสากลนี้ ช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของกัมพูชาบนเวทีโลก และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนมากขึ้น

โจทย์เก่าในยุคใหม่ สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยที่ยังถูกตั้งคำถาม

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาพลักษณ์ของผู้นำการปฏิรูป ยังคงมีคำถามตัวใหญ่ถึง “ความต่อเนื่อง” จากระบอบเก่าที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

  • พื้นที่ทางการเมืองที่จำกัด พรรคฝ่ายค้านหลักยังคงถูกยุบและไม่สามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างเสรี นักวิจารณ์และนักกิจกรรมทางการเมืองยังคงถูกคุกคามและจับกุม
  • เสรีภาพสื่อที่ถดถอย สื่ออิสระยังคงถูกปิดกั้นและเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก
  • อิทธิพลของฮุนเซน การที่บิดาของเขายังคงดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาและประธานพรรค CPP ทำให้นักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่าการตัดสินใจเชิงโครงสร้างอำนาจที่สำคัญยังคงมาจาก ฮุนเซน และ ฮุน มาเนต ไม่มีอำนาจเต็มที่ในการเปลี่ยนแปลงทิศทางทางการเมืองของประเทศได้อย่างแท้จริง

ดังนั้น การปฏิรูปของ ฮุน มาเนต จึงดูเหมือนจะจำกัดอยู่แค่ในมิติของเศรษฐกิจและเทคโนโลยี มากกว่าการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองและประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาติตะวันตกให้ความสำคัญ

นายกฯกัมพูชาบินลัดฟ้ามาไทย 7 ก.พ. 67 เจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา

มุมมองจากไทย โอกาสและความท้าทายในยุค ฮุน มาเนต

สำหรับประเทศไทย การขึ้นสู่อำนาจของ ฮุน มาเนต นำมาซึ่งทั้งโอกาสและความท้าทาย

  • โอกาสทางเศรษฐกิจ นโยบายเปิดประเทศและเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของเขา เป็นโอกาสอันดีสำหรับนักลงทุนไทยในการขยายการลงทุนในกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษและอุตสาหกรรมดิจิทัล บรรยากาศการค้าชายแดนมีแนวโน้มที่เป็นมิตรและราบรื่นขึ้น
  • ความสัมพันธ์ที่คาดเดาได้ง่ายขึ้น สไตล์การทูตที่สุขุมของเขา ทำให้ความสัมพันธ์ระดับรัฐบาลมีความตึงเครียดน้อยกว่าในอดีต การเจรจาในประเด็นที่อ่อนไหว เช่น พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล มีแนวโน้มที่จะใช้เหตุผลมากกว่าการปลุกกระแสชาตินิยม
  • ความท้าทายเชิงการแข่งขัน การที่กัมพูชามุ่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ก็ถือเป็นความท้าทายสำหรับประเทศไทยที่ต้องเร่งพัฒนาตนเองเพื่อรักษาความได้เปรียบในภูมิภาค

บทสรุป ผู้นำที่กำลังพิสูจน์ตัวเอง

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ฮุน มาเนต ได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าผ่าน “ยุทธศาสตร์ปัญจมุม” ของเขา ซึ่งถือเป็น “วีรกรรม” ที่จับต้องได้ในเชิงนโยบายเศรษฐกิจและการบริหาร แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังไม่สามารถสลัด “เงา” ของบิดาและโครงสร้างอำนาจนิยมที่ได้รับมาเป็นมรดกให้หลุดพ้นไปได้

อนาคตของกัมพูชาและบทบาทผู้นำของ ฮุน มาเนต จึงยังคงอยู่ในช่วงของการพิสูจน์ตัวเอง ว่าเขาจะเป็นเพียง “ผู้จัดการมรดก” ที่ดี หรือจะเป็น “สถาปนิก” ผู้ออกแบบกัมพูชาใหม่ได้อย่างแท้จริง ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และภูมิทัศน์ทางการเมืองของอาเซียนไปอีกนานหลายทศวรรษ

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *