กองกําลัง BHQ วันล่มสลายของโล่ห์หน้าด่านพม่าและระเบิดเวลาลูกใหม่ชายแดนไทย

กองกําลัง bhq

ภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนพม่า (BGP) พร้อมอาวุธครบมือที่ยอมวางอาวุธและหลบหนีข้ามแม่น้ำเมยมายังฝั่งไทย ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากอีกต่อไป แต่มันได้กลายเป็นภาพชินตาที่สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ตามแนวชายแดนตะวันตกของประเทศ การล่มสลายของฐานที่มั่นและหน่วยบัญชาการระดับพื้นที่ที่เรียกว่า กองกําลัง BHQ (Border Headquarters Force) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำหน้าที่เป็น “โล่ห์หน้าด่าน” ให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาร์ กำลังเป็นความจริงที่น่ากังวล บทความนี้จะเจาะลึกเบื้องหลังการล่มสลายของหน่วยงานเหล่านี้ และวิเคราะห์ผลกระทบที่รุนแรงซึ่งประเทศไทยต้องเผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิกฤตผู้ลี้ภัยที่บานปลาย, ภาระด้านความมั่นคงที่หนักอึ้ง และสุญญากาศทางอำนาจที่พร้อมจะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ได้ทุกเมื่อ

กองกำลัง BHQ มีกี่คน เทียบกับหน่วยรบพิเศษทหารบกไทย ต่างกันแค่ไหน – My  Content is your Content.

รู้จัก กองกําลัง BHQ และ BGP พวกเขาคือใคร?

ก่อนจะเข้าใจถึงการล่มสลาย เราจำเป็นต้องรู้จักโครงสร้างของหน่วยงานเหล่านี้เสียก่อน

  • ตำรวจตระเวนชายแดนพม่า (Border Guard Police – BGP) เป็นหน่วยงานกึ่งทหาร (Paramilitary) สังกัดกระทรวงมหาดไทยของเมียนมาร์ แต่ในการปฏิบัติงานมักจะอยู่ภายใต้การควบคุมทางยุทธการของกองทัพเมียนมาร์ (Tatmadaw) มีหน้าที่หลักในการรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน, ควบคุมการเข้า-ออกเมือง และต่อต้านกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ
  • กองกําลัง BHQ (Border Headquarters Force) ไม่ใช่ชื่อหน่วยรบโดยตรง แต่คือชื่อเรียกของ “กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน” ที่ตั้งขึ้นเพื่อควบคุมและสั่งการฐานปฏิบัติการย่อย (Outpost) ทั้งหมดในพื้นที่รับผิดชอบนั้นๆ ดังนั้น เมื่อมีการพูดถึง “การล่มสลายของ กองกําลัง BHQ” จึงหมายถึงการที่กองบัญชาการหลักและฐานในสังกัดทั้งหมดถูกตีแตกหรือยอมจำนน

โครงสร้างของ BGP มีความซับซ้อนและเปราะบาง เนื่องจากกำลังพลส่วนหนึ่งถูกเกณฑ์มาจากอดีตกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ยอมทำสัญญาสงบศึกกับรัฐบาลทหาร แล้วเปลี่ยนสถานะมาเป็น “กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (Border Guard Forces – BGF)” ซึ่งทำงานร่วมกับ BGP ปัญหาเรื่องความภักดีจึงเป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุมาโดยตลอด

เบื้องหลังการล่มสลาย ทำไมโล่ห์ของกองทัพพม่าจึงแหลกสลาย?

การที่ฐานที่มั่นของ BGP และ กองกําลัง BHQ หลายแห่งพังทลายลงอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2567-2568 ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัยรวมกัน

  • การรุกอย่างหนักของฝ่ายต่อต้าน กองกำลังผสมของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร ซึ่งนำโดยกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ได้เปิดปฏิบัติการเชิงรุกที่ประสานงานกันอย่างดี สามารถตัดเส้นทางส่งกำลังบำรุงและโอบล้อมฐานที่มั่นของ BGP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ขวัญและกำลังใจที่ตกต่ำ เจ้าหน้าที่ BGP ในพื้นที่ห่างไกลมักถูกทอดทิ้ง ขาดแคลนทั้งเสบียง, กระสุน และการสนับสนุนทางอากาศจากกองทัพเมียนมาร์ ทำให้ขวัญกำลังใจตกต่ำอย่างรุนแรง เมื่อถูกปิดล้อมเป็นเวลานาน การยอมจำนนจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการสู้จนตัวตาย
  • ปัญหาความภักดี ดังที่กล่าวไปข้างต้น กำลังพล BGF ที่มาจากกลุ่มชาติพันธุ์เดิม มีความรู้สึกเชื่อมโยงกับประชาชนและกลุ่มต่อต้านมากกว่ารัฐบาลทหารในเนปิดอว์ ทำให้เกิดการแปรพักตร์หรือยอมแพ้โดยง่าย
  • ยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดของกองทัพเมียนมาร์ กองทัพเมียนมาร์ให้ความสำคัญกับการรักษาเมืองใหญ่และเส้นทางคมนาคมหลัก ทำให้ต้องดึงกำลังจากพื้นที่ชายแดนไปเสริมกำลังในจุดอื่น เป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายต่อต้านเข้าโจมตีฐานที่มั่นที่อ่อนแอกว่าได้อย่างสะดวก

อาวุธลับ 'ฮุนเซน' กองพล BHQ ประชิด 'ช่องบก'

ผลกระทบระลอกแรก คลื่นมนุษย์ทะลักข้ามพรมแดน

เมื่อ กองกําลัง BHQ และฐาน BGP แตกพ่าย ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีคือวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่รุนแรงและซับซ้อน

จากผู้คุมกฎสู่ผู้ลี้ภัย ชะตากรรมของทหาร BGP ที่ยอมจำนน

ภาพของเจ้าหน้าที่ BGP หลายร้อยนายที่ข้ามมายังฝั่งไทย ไม่ใช่ภาพของผู้รุกราน แต่เป็นภาพของผู้ที่หนีตาย พวกเขามาในสถานะ “ผู้หนีภัยความไม่สงบ” ซึ่งสร้างความท้าทายให้กับทางการไทยอย่างมาก

  • การจัดการตามหลักมนุษยธรรม ประเทศไทยต้องให้ความช่วยเหลือตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทำการปลดอาวุธและควบคุมตัวไว้ในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ เพื่อป้องกันปัญหาด้านความมั่นคง
  • กระบวนการส่งกลับ การประสานงานกับทางการเมียนมาร์เพื่อส่งตัวกลับเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากสถานการณ์ภายในที่ยังไม่แน่นอน

ภาระที่หนักอึ้งของไทย ศูนย์พักพิงและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ BGP แล้ว พลเรือนชาวเมียนมาร์จำนวนมหาศาลที่อาศัยอยู่รอบๆ ฐานที่มั่นเหล่านั้น ก็ต้องอพยพหนีการสู้รบเข้ามายังฝั่งไทยเช่นกัน ทำให้ศูนย์พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดน โดยเฉพาะในจังหวัดตากและกาญจนบุรี ต้องรองรับผู้ลี้ภัยจำนวนมากเกินขีดความสามารถ กลายเป็นภาระหนักทั้งด้านงบประมาณ, สาธารณสุข และการจัดการของฝ่ายปกครองและองค์กรด้านมนุษยธรรม

อาวุธลับ 'ฮุนเซน' กองพล BHQ ประชิด 'ช่องบก'

ความท้าทายด้านความมั่นคง เมื่อชายแดนเกิด “สุญญากาศทางอำนาจ”

การหายไปของ กองกําลัง BHQ และ BGP ได้สร้าง “สุญญากาศทางอำนาจ” ขึ้นตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นบ่อเกิดของปัญหาด้านความมั่นคงที่น่ากังวลสำหรับประเทศไทย

  • การควบคุมชายแดนที่อ่อนแอลง เมื่อไม่มีหน่วยงานของเมียนมาร์คอยควบคุมดูแล ย่อมเป็นการเปิดช่องให้เกิดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติได้ง่ายขึ้น ทั้งการลักลอบค้ายาเสพติด, การค้าอาวุธสงคราม และการค้ามนุษย์
  • ความเสี่ยงจากการสู้รบข้ามพรมแดน การสู้รบที่ประชิดชายแดนมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงที่กระสุนหรือจรวดจะพลัดตกลงมาในฝั่งไทย (Spillover) ซึ่งอาจนำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทย
  • ภาระของกองทัพบกไทย กองทัพบกไทย โดยเฉพาะกองกำลังนเรศวร ต้องเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวนและตรึงกำลังตามแนวชายแดนมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยและรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน

“สถานการณ์ปัจจุบันเปรียบเสมือนบ้านที่รั้วพังไปแล้ว เราไม่รู้เลยว่าอะไรจะทะลักเข้ามาบ้าง ภารกิจของเราคือต้องเป็นทั้งรั้วและกำแพงที่แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ข้างหลังรู้สึกปลอดภัย” – นายทหารระดับผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ชายแดน

บทสรุป เดิมพันอนาคตบนเส้นพรมแดนที่เปราะบาง

การล่มสลายของ กองกําลัง BHQ ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของปัญหา แต่มันคือจุดเริ่มต้นของความท้าทายระลอกใหม่ที่ซับซ้อนและคาดเดายากยิ่งกว่าเดิมสำหรับประเทศไทย มันแสดงให้เห็นว่าเสถียรภาพของไทยและเมียนมาร์นั้นเชื่อมโยงกันอย่างไม่อาจแยกขาดได้

ทางออกของปัญหานี้ต้องอาศัยการดำเนินนโยบายที่สุขุมและรอบคอบ ทั้งในมิติของการทูตที่ต้องทำงานร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเมียนมาร์และในเวทีนานาชาติเพื่อหาทางออกอย่างสันติ, การทหารที่ต้องพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทุกรูปแบบเพื่อปกป้องอธิปไตย, และการบริหารจัดการด้านมนุษยธรรมที่ต้องสมดุลระหว่างความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กับความมั่นคงของชาติ

อนาคตของชายแดนไทย-พม่าในวันนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย และประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนแนวหน้าของการรับมือกับผลกระทบจากสงครามกลางเมืองของเพื่อนบ้านอย่างเต็มตัว การจัดการกับ “ระเบิดเวลา” ลูกนี้ได้อย่างไร จะเป็นเครื่องพิสูจน์สำคัญถึงศักยภาพและวิสัยทัศน์ของประเทศไทยบนเวทีระหว่างประเทศต่อไป

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *