ในคลังแสงของกองทัพบกไทย บัดนี้มีราชันย์แห่งอำนาจการยิงองค์ใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเงียบๆ แต่น่าเกรงขาม มันคือระบบจรวดหลายลำกล้องนำวิถี DTI-1G ซึ่งเป็นผลผลิตจากความร่วมมือทางเทคโนโลยีกับระบบ PHL-03 อันทรงพลังของจีน อาวุธชนิดนี้ไม่ใช่แค่การจัดหายุทโธปกรณ์ใหม่ แต่คือ “ตัวเปลี่ยนเกม” เชิงยุทธศาสตร์อย่างแท้จริง มันมอบเขี้ยวเล็บให้กองทัพบกไทยสามารถโจมตีเป้าหมายในระยะลึกได้อย่างแม่นยำชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นการเขียนนิยามใหม่ของอำนาจการป้องปราม และเป็นหมุดหมายสำคัญที่ประกาศถึงการมาถึงของยุคใหม่แห่งอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย
ถอดรหัส PHL-03 จาก “พายุหมุน” โซเวียต สู่ “มังกรพิโรธ” แดนมังกร
เพื่อทำความเข้าใจถึงความร้ายกาจของอาวุธใหม่ของไทย เราต้องย้อนกลับไปดูต้นกำเนิดของมัน นั่นคือระบบ BM-30 Smerch (ภาษารัสเซียแปลว่า “พายุหมุน” หรือ “ทอร์นาโด”) ซึ่งเป็นระบบจรวดหลายลำกล้องขนาด 300 มม. อันเลื่องชื่อของสหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็น Smerch ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายล้างเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ในพื้นที่ส่วนหลังของข้าศึก เช่น ศูนย์บัญชาการ, สนามบิน, คลังอาวุธ หรือจุดรวมพลขนาดใหญ่
ต่อมา สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ทำการศึกษาและพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีของ Smerch จนกลายเป็นระบบ PHL-03 ซึ่งมีขีดความสามารถทัดเทียมหรือเหนือกว่าในบางมิติ และกลายเป็นกำลังหลักของหน่วยทหารปืนใหญ่กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน และนี่คือต้นแบบที่ประเทศไทยได้นำเทคโนโลยีมาพัฒนาเป็นเวอร์ชันของตนเอง
DTI-1G “พยัคฆ์ติดจรวด” ฉบับไทยทำ
โครงการจัดหาระบบจรวดหลายลำกล้องของกองทัพบกไทยไม่ได้หยุดอยู่แค่การสั่งซื้ออาวุธสำเร็จรูป แต่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) และบริษัท Norinco ของจีน เพื่อพัฒนาเป็นระบบ DTI-1G ซึ่งถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญ
ไม่ใช่แค่การซื้อ แต่คือการ “ถ่ายทอดเทคโนโลยี”
หัวใจของโครงการนี้คือการที่ DTI ได้รับ การถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) ที่สำคัญ โดยเฉพาะเทคโนโลยีจรวดนำวิถี ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีชั้นสูงและสามารถต่อยอดไปสู่การผลิตและพัฒนาจรวดที่มีความซับซ้อนได้เองในอนาคต เป็นการลดการพึ่งพาและสร้างความมั่นคงทางทหารอย่างยั่งยืน
ความแม่นยำที่เปลี่ยนเกม จากจรวดไม่นำวิถีสู่จรวดนำวิถี
ในอดีต กองทัพบกไทยมีระบบจรวดหลายลำกล้องอย่าง BM-21 หรือ Type 85 ซึ่งเป็นจรวดแบบไม่นำวิถี (Unguided Rocket) เหมาะสำหรับการยิง压制พื้นที่เป้าหมาย แต่ขาดความแม่นยำ แต่จรวดของ DTI-1G นั้นแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
- ระบบนำวิถี ใช้ระบบนำร่องด้วยดาวเทียม (GPS/BeiDou) และระบบนำร่องเฉื่อย (INS) ทำให้จรวดแต่ละนัดสามารถมุ่งเข้าหาเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างแม่นยำ มีค่าความคลาดเคลื่อนเป้าหมาย (CEP) ในระดับเมตร
- จรวดหลากหลายประเภท สามารถยิงจรวดได้หลายชนิด ทั้งจรวดดินระเบิดแรงสูง (HE-FRAG), จรวดบรรจุลูกระเบิดขนาดเล็ก (Cluster Munition) และจรวดเชื้อเพลิงแรงดันสูง (Thermobaric)
ความแม่นยำนี้ทำให้ DTI-1G เปลี่ยนบทบาทของ ปืนใหญ่จรวด จากอาวุธ “ปูพรม” ไปสู่ “มีดผ่าตัด” ทางยุทธศาสตร์ ที่สามารถเลือกทำลายเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างเฉพาะเจาะจง
แสนยานุภาพที่เปลี่ยนไป DTI-1G ทำอะไรได้บ้าง?
การมาถึงของ DTI-1G ได้เปลี่ยนแปลงขีดความสามารถของกองทัพบกไทยไปอย่างสิ้นเชิง
คุณสมบัติ | ระบบจรวดเดิม (เช่น BM-21) | DTI-1G (พัฒนาจาก PHL-03) |
ระบบนำวิถี | ไม่มี (Unguided) | GPS/INS (Guided) |
ระยะยิงสูงสุด | ~20-40 กิโลเมตร | ~70-150+ กิโลเมตร |
ความแม่นยำ | ต่ำ (CEP หลายร้อยเมตร) | สูง (CEP ระดับเมตร) |
บทบาทหลัก | ยิง压制พื้นที่ (Area Suppression) | โจมตีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Strike) |
ส่งออกไปยังชีต
ด้วยระยะยิงที่ไกลกว่า 150 กิโลเมตร DTI-1G ทำให้กองทัพบกไทยมี “แขนที่ยาวขึ้น” อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อำนาจการต่อรองและป้องปรามเชิงยุทธศาสตร์
จากเดิมที่อำนาจการยิงของกองทัพบกจำกัดอยู่บริเวณชายแดน บัดนี้ DTI-1G สามารถโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของฝ่ายตรงข้ามได้ไกลมาก ซึ่งเป็นการสร้าง อำนาจการป้องปราม (Deterrence) ชั้นดี ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องคิดหนักหากจะกระทำการใดๆ ที่เป็นภัยต่อประเทศไทย
การทำลายล้างเป้าหมายมูลค่าสูง (High-Value Targets)
ความแม่นยำระดับสูงทำให้ DTI-1G เหมาะสมอย่างยิ่งในการทำลายเป้าหมายสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น
- ศูนย์บัญชาการและควบคุม (Command and Control Centers)
- ฐานทัพอากาศและโรงเก็บเครื่องบิน
- ระบบป้องกันภัยทางอากาศ
- คลังอาวุธและเส้นทางส่งกำลังบำรุงหลัก
การทำลายเป้าหมายเหล่านี้ตั้งแต่ช่วงต้นของความขัดแย้ง สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นอัมพาตและชิงความได้เปรียบในการรบมาได้ทันที
“DTI-1G ไม่ใช่แค่อาวุธ แต่มันคือเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่ให้อำนาจต่อรองกับผู้บังคับบัญชาระดับสูง มันเปลี่ยนคำถามจาก ‘เราจะไปถึงเป้าหมายได้อย่างไร’ เป็น ‘เราจะทำลายเป้าหมายใดก่อน’ จากระยะที่ปลอดภัย” – นักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์การทหาร
บทบาทของ DTI หัวหอกแห่งอุตสาหกรรมป้องกันประเทศยุคใหม่
ความสำเร็จของโครงการ DTI-1G คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของบทบาทที่เปลี่ยนไปของ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) จากเดิมที่เน้นการวิจัยและพัฒนาในระดับห้องปฏิบัติการ DTI ได้ก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้เล่น” คนสำคัญในการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนสูง เป็นหน่วยงานที่เชื่อมโยงระหว่างความต้องการของเหล่าทัพกับผู้ผลิตเทคโนโลยีระดับโลก
โครงการนี้ได้สร้างองค์ความรู้และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจรวดและระบบนำวิถี ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีประเภทอื่นๆ ของไทยต่อไปในอนาคต เช่น จรวดต่อสู้รถถัง หรือแม้แต่อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ
บทวิเคราะห์ DTI-1G ในบริบทความมั่นคงของภูมิภาค
การที่กองทัพบกไทยครอบครองระบบ PHL-03 ในเวอร์ชัน DTI-1G ได้ยกระดับศักยภาพของไทยขึ้นมาทัดเทียมกับประเทศชั้นนำในภูมิภาคอาเซียนที่มีระบบจรวดหลายลำกล้องพิสัยไกลประจำการอยู่ มันเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าประเทศไทยมีขีดความสามารถในการป้องกันตนเองและตอบโต้ภัยคุกคามทุกรูปแบบได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
ขณะที่โลกกำลังจับตามองประสิทธิภาพของระบบจรวดหลายลำกล้องนำวิถีอย่าง HIMARS ในสงครามยูเครน การที่ไทยมี DTI-1G ซึ่งทำงานบนหลักการเดียวกันแต่มีอำนาจการยิงที่หนาแน่นกว่า (12 ท่อยิง เทียบกับ 6 ท่อยิงของ HIMARS) ย่อมทำให้กองทัพบกไทยมีความมั่นใจในศักยภาพของตนเองมากขึ้น
บทสรุป ก้าวต่อไปของพยัคฆ์แห่งกองทัพบก
DTI-1G คือบทสรุปของวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลของกองทัพบกและ DTI ที่มองเห็นความจำเป็นของการมีอำนาจการยิงระยะไกลที่แม่นยำ มันคืออาวุธที่เปลี่ยนสมการรบ ทำให้กองทัพบกไทยไม่ได้มีบทบาทแค่การป้องกันบนภาคพื้นดิน แต่สามารถส่งอิทธิพลไปได้ไกลในเชิงรุกและเชิงยุทธศาสตร์
การเดินทางของ PHL-03 สู่ DTI-1G ในกองทัพบกไทย จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวของการซื้อขายอาวุธ แต่เป็นมหากาพย์แห่งการพัฒนาขีดความสามารถ, การสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการประกาศศักยภาพใหม่ของ “พยัคฆ์” ที่ชื่อว่ากองทัพบกไทย ให้เป็นที่ประจักษ์ในเวทีสากล
แหล่งที่มาจาก : am2con