กรุงเทพฯ – ความยุติธรรมที่ล่าช้าไม่ได้แปลว่าความยุติธรรมจะไม่มาถึง ในที่สุด ภารกิจไล่ล่าข้ามทวีปที่กินเวลานานกว่า 6 เดือนก็ได้ข้อยุติลง เมื่อตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ของไทย สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่อินเตอร์โพล (Interpol) บุกเข้าจับกุม “สองพี่น้องเจ้าของไนต์คลับ” ผู้ต้องหาตามหมายจับสากลในคดีเพลิงไหม้ครั้งประวัติศาสตร์ที่คร่าชีวิตนักเที่ยวไปถึง 25 ศพ และบาดเจ็บสาหัสอีกนับร้อย การจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นกลางกรุงหลวงของไทย ปิดฉากชีวิตหรูหราของผู้หลบหนี และเปิดประตูสู่การพิสูจน์ความจริงในชั้นศาลที่โลกกำลังจับตามอง

ปฏิบัติการ “รุกฆาต” กลางกรุง วินาทีจนมุม
ภายใต้ฉากหน้าที่ดูเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปในย่านสุขุมวิท ไม่มีใครคาดคิดว่า ชายสองคนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในคอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา คือบุคคลที่ทางการต่างประเทศต้องการตัวมากที่สุดในขณะนี้
แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า การแกะรอยเริ่มต้นจากข้อมูลข่าวกรองทางการเงิน (Financial Intelligence) ที่พบความเคลื่อนไหวผิดปกติของการโอนเงินข้ามประเทศผ่านบัญชีม้า (Nominee Accounts) เข้าสู่ประเทศไทย เจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า 3 สัปดาห์ในการเฝ้าสังเกตพฤติกรรม จนมั่นใจว่าเป็น สองพี่น้องเจ้าของไนต์คลับ ที่หลบหนีคดี จับเจ้าของไนต์คลับไฟไหม้ มาจากประเทศต้นทาง (สงวนชื่อประเทศเพื่อผลทางกฎหมาย)
“พวกเขามั่นใจมากว่าจะไม่ถูกจับ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนพาสปอร์ต และทำศัลยกรรมใบหน้าบางส่วน แต่สิ่งที่พวกเขาเปลี่ยนไม่ได้คือ ‘ลายนิ้วมือดิจิทัล’ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต” เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมระบุ
ในเช้าตรู่ของวันที่ 17 ธันวาคม กำลังเจ้าหน้าที่คอมมานโดได้จู่โจมเข้าตรวจค้นห้องพัก ทั้งสองถูกควบคุมตัวโดยปราศจากการต่อสู้ พร้อมยึดของกลางเป็นเงินสดสกุลต่างประเทศจำนวนมาก และอุปกรณ์สื่อสารที่ใช้ติดต่อกับเครือข่ายฟอกเงิน
ย้อนรอยโศกนาฏกรรม คืนวิปโยคที่ไม่มีวันลืม
เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมการจับกุมครั้งนี้จึงมีความสำคัญระดับโลก เราต้องย้อนกลับไปในคืนเกิดเหตุที่เป็นต้นตอของโศกนาฏกรรม ไนต์คลับดังกล่าวเป็นสถานบันเทิงชื่อดังที่ดัดแปลงมาจากโกดังเก่า โดยไม่มีใบอนุญาตที่ถูกต้อง
พยานผู้รอดชีวิตเล่าถึงวินาทีแห่งความตายว่า ต้นเพลิงเกิดจากการแสดงพลุไฟ (Pyrotechnics) บนเวที ประกายไฟกระเด็นไปติดฉนวนกันเสียงราคาถูกที่เป็นเชื้อเพลิงชั้นดี (Flammable Soundproofing Foam) ภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที ไฟได้ลุกลามไปทั่วเพดาน เปลี่ยนโถงเต้นรำให้กลายเป็นเตาอบมนุษย์
- ทางหนีไฟที่ถูกล็อก ผลการสอบสวนพบว่า ประตูหนีไฟ 3 ใน 4 บานถูกล็อกตายจากด้านนอกเพื่อป้องกันลูกค้าหนีบิล
- ความแออัด คลับรับลูกค้าเกินความจุถึง 2 เท่า
- ระบบดับเพลิงที่เป็นหมัน ไม่มีสปริงเกอร์ และถังดับเพลิงส่วนใหญ่หมดอายุ
ผลลัพธ์คือความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ ผู้เสียชีวิต 25 ราย ส่วนใหญ่ขาดอากาศหายใจและถูกเหยียบกันตายบริเวณหน้าประตูทางออกหลัก ภาพข่าวที่เผยแพร่ไปทั่วโลกในวันนั้น สร้างความสะเทือนใจและนำมาสู่การประท้วงเรียกร้องให้ลงโทษเจ้าของกิจการขั้นเด็ดขาด

การต่อสู้ทางกฎหมาย เส้นทางสู่การส่งผู้ร้ายข้ามแดน
หลังเกิดเหตุ สองพี่น้องเจ้าของกิจการได้อาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกนอกประเทศ โดยใช้ช่องทางธรรมชาติก่อนจะเดินทางต่อมายังประเทศไทย ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของผู้หลบหนีคดี เนื่องจากความเข้าใจผิดว่าสามารถใช้เงินเบิกทางได้
การ จับเจ้าของไนต์คลับไฟไหม้ ในครั้งนี้ จะนำไปสู่กระบวนการ ส่งผู้ร้ายข้ามแดน (Extradition) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความละเอียดอ่อนทางกฎหมาย ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนวิเคราะห์ว่า ผู้ต้องหาอาจใช้สิทธิ์ยื่นคัดค้านการส่งตัว โดยอ้างเรื่องความปลอดภัยหรือประเด็นทางการเมืองเพื่อประวิงเวลา
“กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายเดือน แต่ด้วยหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับความประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และแรงกดดันจากนานาชาติ เชื่อว่าทางการไทยจะเร่งผลักดันให้มีการส่งตัวกลับไปดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของประเทศ” นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศให้ความเห็น
บทเรียนราคาแพง มาตรฐานความปลอดภัยที่แลกด้วยชีวิต
กรณีศึกษาจากคดีนี้ ไม่ได้จบแค่การจับกุมผู้กระทำผิด แต่เป็นการเปิดแผลเน่าเฟะของอุตสาหกรรมสถานบันเทิงทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอัคคีภัย (Fire Safety Experts) ชี้ว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ซานติก้าผับ (ไทย), สเตชั่นไนต์คลับ (สหรัฐฯ), จนถึงกรณีล่าสุดนี้
- คอร์รัปชัน การจ่ายส่วยเพื่อให้เจ้าหน้าที่มองข้ามมาตรฐานความปลอดภัย
- กำไรเหนือชีวิต การใช้วัสดุราคาถูกและรับคนเกินจำนวนเพื่อเร่งทำกำไร
- การบังคับใช้กฎหมาย กฎหมายมีอยู่ แต่ขาดการตรวจสอบอย่างจริงจัง
องค์กรด้านความปลอดภัยสากล ได้เรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกใช้กรณีนี้เป็นจุดเปลี่ยน ในการสังคายนามาตรฐานความปลอดภัย (Overhaul Safety Standards) โดยเฉพาะการใช้วัสดุกันเสียงที่ไม่ลามไฟ และการตรวจสอบทางหนีไฟที่เข้มงวดแบบ Zero Tolerance
เสียงจากครอบครัวเหยื่อ ความหวังที่เพิ่งถูกจุดประกาย
ทันทีที่ข่าวการจับกุมแพร่สะพัดออกไป กลุ่มตัวแทนญาติผู้เสียชีวิตในประเทศต้นทางได้ออกมาแถลงขอบคุณทางการไทย
“ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา พวกเราเหมือนตายทั้งเป็น การรู้ว่าพวกเขากินดีอยู่ดีในขณะที่ลูกหลานเราต้องตายในกองเพลิง คือความเจ็บปวดที่สุด วันนี้เราเริ่มเห็นแสงสว่างแห่งความยุติธรรมแล้ว” มารดาของผู้เสียชีวิตรายหนึ่งกล่าวทั้งน้ำตา
การจับกุมนี้คือเครื่องยืนยันว่า ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก ไม่มีที่ว่างสำหรับอาชญากร ไม่ว่าพวกเขาจะมีเงินหรืออิทธิพลมากเพียงใด หากมือของพวกเขาเปื้อนเลือด กฎหมายจะตามไปลากตัวพวกเขามารับโทษ ไม่ว่าจะหลบซ่อนอยู่ที่มุมไหนของโลกก็ตาม
บทสรุป เมื่อพรมแดนไม่ใช่กำแพงกั้นความผิด
การรวบตัว พี่น้องเจ้าของไนต์คลับ ในประเทศไทย คือหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามอาชญากรรม มันส่งข้อความที่ทรงพลังว่า ชีวิตของมนุษย์มีค่ามากกว่าผลกำไร และความรับผิดชอบของผู้ประกอบการเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ขณะที่กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกำลังจะเริ่มต้นขึ้น สังคมโลกหวังว่าบทเรียนจาก 25 ชีวิตที่สูญเสียไป จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้มั่นใจว่า “สถานที่แห่งความบันเทิง” จะไม่กลายเป็น “สุสาน” ซ้ำรอยเดิมอีกในอนาคต
แหล่งที่มาจาก : am2con