ซิตตเว / ย่างกุ้ง – เช้าตรู่ของวันที่ 17 ธันวาคม ความเงียบสงบในเมืองมินเบีย (Minbya Township) รัฐยะไข่ ถูกทำลายลงด้วยเสียงคำรามของเครื่องบินขับไล่และแรงระเบิดกัมปนาท เมื่อกองทัพอากาศเมียนมาเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศระลอกใหม่ เป้าหมายไม่ใช่ค่ายทหาร หรือคลังอาวุธ แต่กลับเป็น “โรงพยาบาลประจำเมือง” ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ รายงานล่าสุดจากพื้นที่ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 34 ศพ บาดเจ็บสาหัสอีกกว่า 80 ราย เหตุการณ์นี้กำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ตอกย้ำความโหดร้ายของ เหตุโจมตีโรงพยาบาลรัฐยะไข่ และตั้งคำถามตัวโตถึงประชาคมโลกว่า จะปล่อยให้ อาชญากรรมสงครามในเมียนมา ดำเนินต่อไปโดยไร้การตอบโต้ได้อีกนานเท่าไร

วินาทีสังหาร เมื่อ “เขตรักษาพยาบาล” กลายเป็น “ทุ่งสังหาร”
แหล่งข่าวท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์อิสระ ให้ข้อมูลตรงกันกับสำนักข่าว Reuters และ BBC ว่า ในเวลาประมาณ 06.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น เครื่องบินขับไล่ไอพ่น (คาดว่าเป็นรุ่น Su-30 หรือ Yak-130 ที่จัดหาจากรัสเซีย) ได้บินโฉบเหนือน่านฟ้าเมืองมินเบีย ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของ กองทัพอรากัน (Arakan Army – AA) ก่อนจะทิ้งระเบิดขนาดหนักจำนวน 2 ลูก ลงสู่ใจกลางอาคารผู้ป่วยในและแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล
“มันไม่ใช่การยิงพลาด (Collateral Damage) อย่างแน่นอน” นายแพทย์อาสาสมัครรายหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พวกเขาบินต่ำ เห็นสัญลักษณ์กาชาดบนหลังคาชัดเจน แตพวกเขาก็ยังกดปุ่มทิ้งระเบิด เพดานถล่มลงมาทับผู้ป่วยที่นอนติดเตียง เด็กๆ ร้องระงม… นี่มันคือนรก”
ภาพความเสียหายที่ถูกเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นอาคารคอนกรีตที่พังทลายลงมาทั้งแถบ ร่างของผู้เสียชีวิตถูกดึงออกมาจากซากปรักหักพังท่ามกลางฝุ่นควัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรี เด็ก และคนชรา การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่นองเลือดที่สุดในรัฐยะไข่นับตั้งแต่ต้นปี 2025
ยุทธศาสตร์ “Scorched Earth” ความพ่ายแพ้ที่นำไปสู่ความบ้าคลั่ง
นักวิเคราะห์ความมั่นคงจากสถาบัน IISS (International Institute for Strategic Studies) ประเมินว่า การโจมตีครั้งนี้มีนัยยะทางยุทธศาสตร์ที่น่ากังวล การที่ กองทัพเมียนมา เลือกโจมตีโรงพยาบาล สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ “จนตรอก” ของรัฐบาลทหารภายใต้การนำของ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย
- การสูญเสียพื้นที่ ในช่วงปีที่ผ่านมา กองทัพอรากัน (AA) ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐยะไข่และรัฐชินตอนใต้ ทำให้ทหารเมียนมาถูกตัดขาดเส้นทางบก
- การทำลายโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อไม่สามารถยึดพื้นที่คืนได้ กองทัพจึงเลือกใช้นโยบาย “Scorched Earth” หรือการผลาญภพ ทำลายสาธารณูปโภค โรงพยาบาล และโรงเรียน เพื่อให้พื้นที่เหล่านั้น “ปกครองไม่ได้” (Ungovernable) และสร้างภาระมหาศาลให้กับฝ่ายต่อต้านในการดูแลพลเรือน
- สงครามจิตวิทยา การโจมตีเป้าหมายอ่อนไหว (Soft Targets) มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความหวาดกลัว (Terror) ให้กับประชาชน เพื่อบั่นทอนการสนับสนุนที่มีต่อกองกำลังชาติพันธุ์

การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ หลักฐานชัดแจ้งของ “อาชญากรรมสงคราม”
เหตุโจมตีโรงพยาบาลรัฐยะไข่ ครั้งนี้ ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law) อย่างชัดแจ้ง โดยเฉพาะ อนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) ที่ระบุให้สถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เป็น “พื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครอง” (Protected Zones) ห้ามทำการโจมตีในทุกกรณี
สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้ออกแถลงการณ์ด่วน ประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็น “สิ่งที่ยอมรับไม่ได้และไร้มนุษยธรรม” โดยระบุว่ากำลังเร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)
“การโจมตีโรงพยาบาลโดยเจตนา ไม่ใช่แค่การละเมิดกฎหมาย แต่มันคือการประกาศตัวเป็นศัตรูกับความเป็นมนุษย์” โฆษก OHCHR ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว
วิกฤตซ้อนวิกฤต ชะตากรรมของผู้รอดชีวิต
ผลกระทบจากการทิ้งระเบิดไม่ได้จบลงที่จำนวนผู้เสียชีวิต 34 ราย แต่ยังก่อให้เกิด วิกฤตมนุษยธรรมรัฐยะไข่ ระลอกใหม่
- ระบบสาธารณสุขล่มสลาย โรงพยาบาลที่ถูกโจมตีเป็นศูนย์กลางการแพทย์หลักของอำเภอ เมื่อถูกทำลาย ทำให้ผู้เจ็บป่วยไม่มีที่พึ่งพิง ท่ามกลางภาวะขาดแคลนเวชภัณฑ์จากการถูกปิดกั้นเส้นทางขนส่ง
- คลื่นผู้อพยพ ความหวาดกลัวต่อการโจมตีทางอากาศระลอกต่อไป ทำให้ชาวบ้านนับหมื่นเริ่มอพยพออกจากตัวเมือง มุ่งหน้าสู่ป่าเขาหรือค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดน ซึ่งเสี่ยงต่อการขาดแคลนอาหารและโรคระบาด
มุมมองภูมิรัฐศาสตร์ อาเซียนและโลกจะทำอย่างไร?
เหตุการณ์นี้เป็นบททดสอบสำคัญอีกครั้งสำหรับ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ซึ่งที่ผ่านมาถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล้มเหลวในการผลักดัน “ฉันทามติ 5 ข้อ” นักวิเคราะห์มองว่า การทูตแบบเงียบๆ (Quiet Diplomacy) ไม่สามารถหยุดยั้งความรุนแรงได้อีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน บทบาทของมหาอำนาจอย่าง จีน ก็ถูกจับตามอง เนื่องจากรัฐยะไข่เป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึกเจ้าผิว (Kyaukphyu) และท่อส่งน้ำมันเชื้อเพลิงยุทธศาสตร์ของจีน ความไม่สงบที่ลุกลามอาจบีบให้ปักกิ่งต้องเข้ามาแทรกแซงมากขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน ซึ่งอาจมาในรูปแบบของการกดดันให้มีการหยุดยิง หรือการสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างลับๆ

บทสรุป ความยุติธรรมที่ยังมาไม่ถึง
เหตุโจมตีโรงพยาบาลรัฐยะไข่ ในวันที่ 17 ธันวาคม 2025 จะถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในวันที่มืดมนที่สุดของสงครามกลางเมืองเมียนมา มันไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมของการสูญเสียชีวิต แต่เป็นเครื่องเตือนใจว่า ในสงครามที่ไร้กฎกติกา ผู้ที่จ่ายราคาสูงที่สุดคือ “ประชาชนผู้บริสุทธิ์”
ท่ามกลางซากปรักหักพังของโรงพยาบาลและเสียงร้องไห้ของผู้สูญเสีย คำถามที่ดังก้องกว่าเสียงระเบิดคือ โลกจะยอมให้ อาชญากรรมสงครามในเมียนมา เป็นเพียงพาดหัวข่าวที่ผ่านไป หรือจะลุกขึ้นมาดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยุติวงจรความโหดร้ายนี้เสียที ก่อนที่โรงพยาบาลแห่งต่อไปจะตกเป็นเป้าหมาย
แหล่งที่มาจาก : am2con