มากกว่าแค่รสชาติ ยูเนสโกประกาศ “อาหารอิตาเลียน มรดกโลก” ชัยชนะแห่งวิถีชีวิตและโต๊ะอาหารที่โลกต้องหันมอง

อาหารอิตาเลียน มรดกโลก

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้องประชุมใหญ่ขององค์การยูเนสโก (UNESCO) ทันทีที่ค้อนไม้ถูกเคาะลงบนโต๊ะ ประกาศรับรองให้ “อาหารอิตาเลียน: ธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคมและวัฒนธรรมการปรุงและการกิน” (Italian Cuisine: Social Practices and Food Culture) ขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกด้านภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อย่างเป็นทางการ การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์นี้ไม่ได้เพียงแค่ยกระดับสถานะของ สปาเก็ตตี้ หรือ ทีรามิสุ ให้กลายเป็นสมบัติของมนุษยชาติ แต่คือการรับรอง “จิตวิญญาณ” แห่งการแบ่งปัน ที่ซ่อนอยู่ในทุกมื้ออาหารของชาวอิตาเลียน ซึ่งกำลังส่งแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ต่ออุตสาหกรรมอาหารและการท่องเที่ยวทั่วโลก

UNESCO Recognition of Italian Cuisine | QMagazine

หัวใจคือ “Convivialità” ไม่ใช่แค่กิน แต่คือการอยู่ร่วมกัน

สิ่งที่ทำให้ อาหารอิตาเลียน มรดกโลก แตกต่างจากการขึ้นทะเบียนอาหารของชาติอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ คือนิยามที่ยูเนสโกมอบให้ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intergovernmental Committee) ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสูตรอาหารที่ตายตัว แต่เน้นที่ “Convivialità” (Conviviality) หรือความรื่นรมย์ในการอยู่ร่วมกัน

รายงานระบุว่า วัฒนธรรมการกินของอิตาลีทำหน้าที่เป็น “กาวใจ” ที่ยึดโยงครอบครัวและชุมชนเข้าด้วยกัน ตั้งแต่กระบวนการเตรียมวัตถุดิบที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น (Intergenerational transmission) การเคารพในฤดูกาลของธรรมชาติ ไปจนถึงช่วงเวลาที่ทุกคนละวางโทรศัพท์มือถือและนั่งล้อมวงที่โต๊ะอาหารเพื่อแบ่งปันเรื่องราว

“นี่ไม่ใช่รางวัลสำหรับเชฟระดับมิชลินสตาร์ แต่เป็นรางวัลสำหรับคุณย่าคุณยาย (Nonnas) ทุกคนที่ตื่นแต่เช้ามานวดแป้ง และสำหรับทุกครอบครัวที่ยังคงรักษาธรรมเนียมการทานมื้อค่ำร่วมกัน ยูเนสโกไม่ได้ปกป้องแค่อาหาร แต่กำลังปกป้องความเป็นมนุษย์ของเรา”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของอิตาลี กล่าวด้วยความตื้นตันหลังทราบผลการตัดสิน

ชัยชนะของ Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์

การได้มาซึ่งสถานะ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากยุทธศาสตร์ ซอฟต์พาวเวอร์อิตาลี ที่วางแผนมาอย่างยาวนาน รัฐบาลอิตาลีใช้เวลากว่า 3 ปีในการรวบรวมข้อมูล งานวิจัย และหลักฐานทางมานุษยวิทยา เพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าวิถีการกินของพวกเขาคือรากฐานของความยั่งยืน (Sustainability)

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจจาก Bloomberg ประเมินว่า ตราประทับของยูเนสโกจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับอิตาลีมหาศาล

  • การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) คาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลเข้าสู่เมืองรองและชนบทของอิตาลีมากขึ้น เพื่อสัมผัสวิถีการกินแบบดั้งเดิม (Authentic Experience)
  • การส่งออกวัตถุดิบ สินค้าที่มีตรารับรองแหล่งกำเนิด (DOP/IGP) เช่น ชีสพาร์มิชาโน หรือ แฮมโปรชุตโต จะมีความต้องการสูงขึ้นในตลาดโลก
  • ร้านอาหารอิตาเลียนทั่วโลก ร้านอาหารกว่า 3 แสนแห่งทั่วโลกที่ดำเนินกิจการโดยชาวอิตาเลียน จะได้รับอานิสงส์จากการสร้างแบรนด์ระดับโลกครั้งนี้

Italian Cuisine Recognized by UNESCO - Gift

โลกแห่ง “Slow Food” ปะทะ “Fast Food”

ในมิติทางสังคมวิทยา การประกาศครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านวัฒนธรรมอาหารจานด่วน ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาโรคอ้วนและอาหารแปรรูปสูง (Ultra-processed foods) ยูเนสโกกำลังส่งสัญญาณว่า “การกินอย่างช้าๆ” และ “การรู้ที่มาของอาหาร” คือทางรอดของสุขภาพมนุษยชาติ

ดร. ฟรานเชสกา รอสซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการจากมหาวิทยาลัยโบโลญญา ให้ทรรศนะว่า “อาหารอิตาเลียน หรือที่เรารู้จักในบริบทของ Mediterranean Diet สอนให้เรารู้จักสมดุล มันไม่ใช่แค่เรื่องแคลอรี่ แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ การที่ยูเนสโกรับรองสิ่งนี้ คือการบอกโลกให้ ‘ช้าลง’ และหันมาใส่ใจสิ่งที่ตักเข้าปากมากขึ้น”

บทเรียนสู่เอเชีย ไทยเรียนรู้อะไรได้บ้าง?

เมื่อมองกลับมาที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีชื่อเสียงด้านอาหารไม่แพ้กัน การประกาศ อาหารอิตาเลียน มรดกโลก ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ

แม้ “ต้มยำกุ้ง” ของไทยจะอยู่ในบัญชีรอการพิจารณา แต่สิ่งที่ไทยสามารถถอดบทเรียนได้คือ การนำเสนอเรื่องราว (Storytelling) ที่ไปไกลกว่ารสชาติ อิตาลีประสบความสำเร็จเพราะพวกเขานำเสนอ “วิถีชีวิต” (Way of Life) ไม่ใช่แค่ “เมนู” (Menu) พวกเขาเชื่อมโยงอาหารเข้ากับประวัติศาสตร์ ศิลปะ และความรักในครอบครัว ซึ่งเป็นภาษาสากลที่คนทั่วโลกเข้าใจและเข้าถึงได้

UNESCO adds this national cuisine to its list and it is not French - Italian  cuisine in UNESCO intangible heritage list | The Economic Times

บทสรุป การเริ่มต้นของพันธสัญญาใหม่

การได้เป็นมรดกโลกไม่ใช่เส้นชัย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของความท้าทาย รัฐบาลอิตาลีและประชาชนมีพันธสัญญาที่จะต้องรักษารูปแบบวัฒนธรรมนี้ไว้ไม่ให้ถูกกลืนกินโดยกระแสพาณิชย์นิยม (Commercialization) จนเกินงาม

จากนี้ไป เมื่อเราสั่งพิซซ่าหรือต้มเส้นพาสต้า ให้ระลึกเสมอว่า เราไม่ได้กำลังบริโภคเพียงแค่แป้งและซอส แต่เรากำลังสัมผัสกับมรดกทางวัฒนธรรมที่มนุษยชาติร่วมกันยกย่อง—มรดกที่สอนให้เรารักและแบ่งปันผ่านรสชาติของอาหาร

โลกได้รับรู้แล้วว่า อาหารอิตาเลียน คือศิลปะแห่งการใช้ชีวิต และวันนี้ ศิลปะแขนงนั้นได้รับการจารึกชื่อไว้ในหน้าประวัติศาสตร์โลกอย่างสมเกียรติ

แหล่งที่มาจาก : am2con