กรุงเทพฯ/พนมเปญ – สำนักข่าวต่างประเทศชั้นนำทั่วโลก ทั้ง Reuters, AP และ Al Jazeera ต่างพร้อมใจกันตีข่าวสถานการณ์ตึงเครียดสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อข้อพิพาทเรื้อรังบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา ได้ปะทุขึ้นเป็นการปะทะทางทหารเต็มรูปแบบ (Full-scale military confrontation) ตลอด 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา รายงานล่าสุดระบุตัวเลขที่น่าตกใจว่า มีพลเรือนจากทั้งสองฝั่งต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยแล้วรวมกว่า 500,000 คน สร้างความกังวลว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา” ครั้งใหม่ ที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของภูมิภาคอาเซียนอย่างรุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จุดแตกหัก จาก “พื้นที่ทับซ้อน” สู่ “สนามรบ”
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาจะดำเนินไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ มาโดยตลอด แต่การปะทะครั้งนี้ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” (Turning Point) ที่สำคัญ นักวิเคราะห์จากสถาบันยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (IISS) ระบุว่า ชนวนเหตุไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งเพียงจุดเดียว แต่เป็นการสะสมความตึงเครียดจากกรณี ข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อน (Overlapping Claims Areas – OCA) ทางทะเลและการตีความสนธิสัญญาเขตแดนทางบกที่ไม่ตรงกัน โดยเฉพาะประเด็นละเอียดอ่อนอย่าง MOU 44 และพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหาร
รายงานจากพื้นที่ระบุว่า การปะทะเริ่มขึ้นจากการกระทบกระทั่งกันของหน่วยลาดตระเวน ก่อนจะลุกลามไปสู่การใช้ “อาวุธหนัก” (Heavy Artillery) ยิงโต้ตอบข้ามพรมแดนในหลายจุดสำคัญ ตั้งแต่จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ ไปจนถึงตราด เสียงระเบิดที่ดังกึกก้องไม่เพียงทำลายความเงียบสงบของชายแดน แต่ยังทำลายความเชื่อมั่นในการเจรจาทางการทูตที่ดำเนินมาหลายปีลงอย่างสิ้นเชิง
“นี่ไม่ใช่แค่การยิงปะทะเพื่อเตือน (Warning shots) อีกต่อไป แต่เป็นการใช้กำลังทางทหารเพื่อยึดกุมความได้เปรียบทางยุทธวิธี สิ่งที่เราเห็นคือความล้มเหลวของกลไกการระงับข้อพิพาททวิภาคี” – ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ให้สัมภาษณ์กับ BBC
วิกฤตมนุษยธรรม คลื่นผู้อพยพครึ่งล้านกับความโกลาหล
ประเด็นที่ สื่อต่างประเทศรายงาน และให้ความสำคัญมากที่สุดในขณะนี้ ไม่ใช่ผลแพ้ชนะทางการทหาร แต่คือชะตากรรมของพลเรือน ตัวเลขผู้พลัดถิ่นที่พุ่งสูงถึง 500,000 คน ภายในเวลาไม่ถึง 3 วัน ถือเป็นสถิติการ อพยพประชาชน ที่รวดเร็วและน่ากังวลที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของภูมิภาค
ภาพข่าวจากสำนักข่าว AFP เผยให้เห็นขบวนรถบรรทุกและรถยนต์ส่วนตัวที่ติดยาวเหยียดบนถนนสายหลักมุ่งหน้าออกจากพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ ศูนย์พักพิงชั่วคราวตามโรงเรียนและวัดวาอารามเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม และเวชภัณฑ์
องค์กรสิทธิมนุษยชนสากล (Human Rights Watch) ได้ออกแถลงการณ์ด่วน เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายเปิดทางให้เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์เข้าถึงพื้นที่ และยุติการโจมตีในเขตชุมชนทันที “การใช้พลเรือนเป็นตัวประกันในเกมอำนาจทางทหาร คือการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่ยอมรับไม่ได้” แถลงการณ์ระบุ

ภูมิรัฐศาสตร์อาเซียน เมื่อเพื่อนบ้านจับอาวุธ
สถานการณ์นี้กำลังทดสอบความเป็นปึกแผ่นของ อาเซียน (ASEAN) อย่างหนัก ในฐานะองค์กรที่ยึดถือหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในและความระงับข้อพิพาทโดยสันติ การที่สมาชิกสองประเทศทำสงครามกันเองถือเป็นฝันร้ายทางพฤตินัย
นักวิเคราะห์มองว่า วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ อาจเปิดช่องให้มหาอำนาจภายนอกเข้ามามีบทบาท
- จีน ในฐานะพันธมิตรที่แน่นแฟ้นของกัมพูชาและคู่ค้าสำคัญของไทย จีนอาจต้องวางตัวลำบาก แต่มีแนวโน้มที่จะใช้บทบาท “คนกลาง” เพื่อรักษาผลประโยชน์ในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI)
- สหรัฐอเมริกา อาจใช้โอกาสนี้ในการกระชับความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับไทย ผ่านข้อตกลงความเป็นพันธมิตรที่มีอยู่เดิม เพื่อคานอำนาจจีนในภูมิภาค
“หากอาเซียนไม่สามารถดึงทั้งสองฝ่ายกลับสู่โต๊ะเจรจาได้ภายใน 48 ชั่วโมง เรื่องนี้อาจถูกยกระดับเข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ซึ่งจะทำให้ปัญหาระดับทวิภาคีกลายเป็นเวทีประลองกำลังของโลก” บทวิเคราะห์จาก The Economist ระบุ
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การค้าชายแดนอัมพาต
นอกเหนือจากความสูญเสียทางชีวิตและทรัพย์สิน ผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ด่านศุลกากรและจุดผ่านแดนถาวรหลายแห่งถูกสั่งปิดอย่างไม่มีกำหนด ส่งผลให้มูลค่าการค้าชายแดนที่เคยสะพัดวันละหลายร้อยล้านบาทต้องหยุดชะงักทันที
- ภาคการขนส่ง เส้นทางโลจิสติกส์เชื่อมต่อ GMS (Greater Mekong Subregion) ถูกตัดขาด
- ภาคการท่องเที่ยว ความกังวลเรื่องความปลอดภัยทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มยกเลิกการจองที่พักในจังหวัดชายแดนและพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงเกาะกูด ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่อยู่ในพื้นที่อ่อนไหว
บทสรุป ทางออกท่ามกลางควันปืน
ขณะนี้ รัฐบาลของทั้งสองประเทศกำลังเผชิญแรงกดดันมหาศาล ทั้งจากกระแสชาตินิยมภายในประเทศและแรงบีบคั้นจากประชาคมโลก คำถามสำคัญคือ ผู้นำของทั้งไทยและกัมพูชาจะเลือกเดินเกมอย่างไร?
หากเลือกที่จะยกระดับความรุนแรง (Escalate) ต่อไป ราคาที่ต้องจ่ายจะไม่ใช่แค่ตัวเลขงบประมาณทางทหาร แต่คือชีวิตของประชาชนและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่จะถดถอยไปอีกหลายปี ทางออกเดียวที่ยั่งยืนคือการ “ลดระดับความตึงเครียด” (De-escalation) และกลับมาใช้กลไกทางการทูตในการเจรจาเรื่อง MOU 44 และข้อพิพาทอื่นๆ อย่างโปร่งใสและจริงใจ
โลกกำลังจับตามองว่า “กระสุน” หรือ “การเจรจา” จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของชายแดนไทย-กัมพูชา ในวิกฤตการณ์ครั้งนี้
แหล่งที่มาจาก : am2con