“ทรัมป์” ต่อสายตรงผู้นำ “ไทย-กัมพูชา” หวังดับไฟสงครามชายแดนและชิงเค้กพลังงาน

ทรัมป์ระงับศึกไทย-กัมพูชา

ทำเนียบขาวส่งสัญญาณด่วนที่สุดถึงความเคลื่อนไหวทางกาทูตที่น่าจับตามองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อแหล่งข่าวระดับสูงยืนยันว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เตรียมยกหูโทรศัพท์สายตรงถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในภารกิจ ทรัมป์ระงับศึกไทย-กัมพูชา ภายใน 24 ชั่วโมงข้างหน้านี้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดบริเวณชายแดนทางทะเลและพื้นที่ทับซ้อนที่ปะทุขึ้นระลอกใหม่ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่านี่ไม่ใช่เพียงการไกล่เกลี่ยศึกเพื่อนบ้าน แต่คือการเดิมพันทางยุทธศาสตร์ของวอชิงตันเพื่อรักษาสมดุลอำนาจกับปักกิ่ง และปลดล็อกขุมทรัพย์พลังงานที่โลกกำลังจับจ้อง

What we know about Thailand and Cambodia's deadly border dispute | ABS-CBN  News

สัญญาณเตือนภัย เมื่ออ่าวไทยกลายเป็นจุดเดือด

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา หลังจากมีรายงานการเผชิญหน้ากันของเรือลาดตระเวนบริเวณใกล้เส้นแบ่งเขตไหล่ทวีป หรือ พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area – OCA) เหตุการณ์ดังกล่าวแม้จะยังไม่มีการปะทะด้วยอาวุธหนัก แต่ได้สร้างความกังวลให้กับนานาชาติ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่มองว่า “ความไร้เสถียรภาพ” ในจุดยุทธศาสตร์นี้ อาจเปิดช่องว่างให้มหาอำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซงได้ง่าย

เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ (State Department) ให้ความเห็นในวงจำกัดว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการเดินเรือเสรี ท่านต้องการ ‘Deal’ ที่จบเร็วและวิน-วิน ทั้งสองฝ่าย”

“Art of the Deal” ฉบับทรัมป์ มากกว่าแค่สันติภาพ

การเข้ามามีบทบาทในกรณี ทรัมป์ระงับศึกไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ แตกต่างจากการทูตแบบดั้งเดิม นักรัฐศาสตร์จาก Center for Strategic and International Studies (CSIS) วิเคราะห์ว่า ทรัมป์กำลังใช้ยุทธศาสตร์ “Transactionalist Diplomacy” หรือการทูตแบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ

  1. สกัดกั้นอิทธิพลจีน (Countering China) กัมพูชาถือเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นที่สุดของจีนในอาเซียน หากปล่อยให้ความขัดแย้งบานปลาย จีนอาจยื่นมือเข้ามาเป็น “กาวใจ” ซึ่งจะทำให้อิทธิพลของปักกิ่งในภูมิภาคนี้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด สหรัฐฯ จึงต้องชิงตัดหน้าเพื่อแสดงบทบาทพี่ใหญ่
  2. ปลดล็อกพลังงาน (Energy Security) พื้นที่ OCA ขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตร ถูกประเมินว่ามีก๊าซธรรมชาติและน้ำมันสำรองมูลค่ามหาศาล ทรัมป์ซึ่งสนับสนุนนโยบายพลังงานฟอสซิล อาจมองเห็นโอกาสในการผลักดันให้ทั้งสองประเทศเร่งเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ (Joint Development Area – JDA) โดยมีบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ (เช่น Chevron) เข้าไปมีส่วนร่วม
  3. รักษาเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทาน พื้นที่อ่าวไทยและแหลมอินโดจีนเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าสำคัญ การปะทะกันทางทหารจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งและการประกันภัยเดินเรือ ซึ่งขัดต่อนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์

Trump to do a phoner to stop Thai-Cambodia clashes - New Straits Times  Online

แรงกดดันต่อผู้นำไทยและกัมพูชา

การเตรียมต่อสายตรงครั้งนี้ สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อผู้นำทั้งสองประเทศ สำหรับ แพทองธาร ชินวัตร ผู้นำไทย การจัดการกับปัญหาชายแดนถือเป็นประเด็นอ่อนไหวต่อความรู้สึกชาตินิยมภายในประเทศ หากดูเหมือน “ยอม” กัมพูชามากเกินไป อาจจุดชนวนประท้วงในบ้าน แต่หากแข็งกร้าวเกินไปก็เสี่ยงปะทะทางทหารที่ไทยไม่ต้องการ

ในขณะที่ ฮุน มาเนต ผู้นำรุ่นใหม่ของกัมพูชา ก็ต้องการสร้างผลงานในการพัฒนาเศรษฐกิจ การได้รับโทรศัพท์จากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถือเป็นการรับรองสถานะ (Legitimacy) ในเวทีโลก แต่เขาก็ต้องรักษาสมดุลไม่ให้พี่ใหญ่อย่างจีนรู้สึกหวาดระแวง

“ทรัมป์จะใช้ลีลาการเจรจาที่ตรงไปตรงมา เขาอาจจะบอกผู้นำทั้งสองว่า ‘เลิกทะเลาะกัน แล้วมาแบ่งเค้กก้อนโตกันดีกว่า’ ซึ่งเป็นภาษาที่นักธุรกิจเข้าใจ แต่เป็นเรื่องยากสำหรับนักการเมืองที่ต้องแบกรับกระแสชาตินิยม” แหล่งข่าวทางการทูตในกรุงเทพฯ กล่าว

ย้อนรอยปมขัดแย้ง จากเขาพระวิหารสู่เกาะกูดและ OCA

แม้ความขัดแย้งในอดีตมักจะโฟกัสที่ปราสาทพระวิหาร แต่ในยุคปัจจุบัน วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา ได้เปลี่ยนสมรภูมิมาสู่ท้องทะเล ปมปัญหาเรื่อง “เกาะกูด” และเส้นเขตแดนทางทะเลตาม MOU 2544 ยังคงเป็นประเด็นที่หาข้อยุติยาก

ความต้องการพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นของทั้งไทยและกัมพูชา ทำให้พื้นที่ OCA กลายเป็น “จอกศักดิ์สิทธิ์” ที่ต่างฝ่ายต่างต้องการ การที่ทรัมป์เข้ามาแทรกแซง อาจเป็นการเร่งรัดให้เกิดการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ในรูปแบบ JDA (Joint Development Area) เหมือนที่ไทยเคยทำสำเร็จกับมาเลเซีย แต่ความท้าทายคือความหวาดระแวงระหว่างกันที่ฝังรากลึก

Thailand and Cambodia keep fighting across contested border ahead of  expected Trump calls - New Straits Times Online

จับตาบทบาทจีน ความเงียบที่ดังที่สุด

สิ่งที่น่าสนใจคือปฏิกิริยาจากกรุงปักกิ่ง จนถึงขณะนี้ ทางการจีนยังสงวนท่าทีต่อข่าวการเจรจาของทรัมป์ แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจีนกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะหากสหรัฐฯ สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนี้ได้สำเร็จ ย่อมหมายถึงการลดทอนความจำเป็นที่กัมพูชาและไทยจะต้องพึ่งพาความมั่นคงจากจีน

อย่างไรก็ตาม จีนยังถือไพ่ใบสำคัญคือความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการทหารที่หยั่งรากลึกในกัมพูชา รวมถึงโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ทำให้การดึงกัมพูชาออกจากวงโคจรของจีนไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทรัมป์

บทสรุป การทูตสายฟ้าแลบกับอนาคตอาเซียน

การที่ ทรัมป์ระงับศึกไทย-กัมพูชา ด้วยการต่อสายตรง ถือเป็นสไตล์การทูตแบบ “Top-Down” ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ผลลัพธ์ที่จะตามมาต่างหากคือสิ่งที่ต้องจับตามอง หากทรัมป์ทำสำเร็จ ภูมิภาคนี้อาจเห็นการร่วมมือด้านพลังงานครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

แต่หากล้มเหลว หรือถูกมองว่าเป็นการบีบบังคับมากเกินไป ก็อาจผลักดันให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถอยห่างและหันไปพึ่งพาขั้วอำนาจอื่นมากขึ้น สถานการณ์ใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า จึงเป็นช่วงเวลาชี้ชะตาว่า “สันติภาพ” หรือ “ความขัดแย้ง” จะเป็นสิ่งที่รออยู่ในอนาคตของคาบสมุทรอินโดจีน

แหล่งที่มาจาก : am2con