ประเทศญี่ปุ่นกลับมาอยู่ในความสนใจของทั่วโลกอีกครั้งด้วยความระทึกขวัญ เมื่อเกิดเหตุ แผ่นดินไหวญี่ปุ่น 7.5 แมกนิจูด เขย่าพื้นที่ชายฝั่งตะวันออก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บที่ยืนยันแล้วอย่างน้อย 34 ราย อาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหาย และระบบคมนาคมกลายเป็นอัมพาตชั่วคราว แต่สิ่งที่สร้างความกังวลใจในระดับสากลมากกว่าแรงสั่นสะเทือน คือรายงานด่วนจากโรงงานนิวเคลียร์ในพื้นที่ประสบภัย ที่ระบุว่าพบการรั่วไหลของน้ำจากบ่อเก็บเชื้อเพลิงใช้แล้ว (Spent Fuel Pool) เหตุการณ์นี้กำลังกลายเป็นบททดสอบสำคัญต่อยุทธศาสตร์พลังงานของรัฐบาลญี่ปุ่น ท่ามกลางสายตาของนานาชาติที่จับจ้องด้วยความห่วงใยและเคลือบแคลงสงสัยในมาตรฐานความปลอดภัย
วินาทีธรณีพิโรธ จากแรงสั่นสะเทือนสู่ความโกลาหล
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (JMA) รายงานว่า เหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 04.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ลึกลงไปใต้ทะเลราว 50 กิโลเมตร แรงสั่นสะเทือนวัดได้ระดับ 6 สูง (6 Upper) ตามมาตราชินโดในบางพื้นที่ ซึ่งรุนแรงพอที่จะทำให้ยืนทรงตัวไม่ได้และเฟอร์นิเจอร์หนักล้มคว่ำ
“มันสั่นแรงและยาวนานผิดปกติ เหมือนโลกกำลังเหวี่ยงเราไปมา” ฮิโรชิ ทานากะ เจ้าของร้านสะดวกซื้อในพื้นที่ประสบภัยให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่น “ไฟดับลงทันที และเสียงสัญญาณเตือนภัยสึนามิก็ดังขึ้น มันทำให้พวกเรานึกถึงภาพจำที่เลวร้ายในอดีต”
ทันทีที่เกิดเหตุ ทางการญี่ปุ่นได้ออกประกาศเตือนภัยสึนามิความสูง 1 เมตร ตลอดแนวชายฝั่ง ก่อนจะยกเลิกในอีก 3 ชั่วโมงต่อมา อย่างไรก็ตาม แรงสั่นสะเทือนได้สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ถนนหลายสายเกิดรอยแยก รถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็นหยุดให้บริการฉุกเฉิน และมีรายงานผู้บาดเจ็บ 34 ราย ส่วนใหญ่เกิดจากการถูกสิ่งของหล่นทับและการหกล้มขณะพยายามหนีตาย
ปมวิกฤต “น้ำปนเปื้อน” รั่วไหล สัญญาณเตือนหรือแค่เหตุสุดวิสัย?
ประเด็นที่ดึงดูดความสนใจจากนักสังเกตการณ์ทั่วโลกไม่ใช่เพียงความเสียหายทางกายภาพ แต่คือรายงานจากบริษัทผู้ดูแลโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในพื้นที่ (สมมติว่าเป็นพื้นที่ใกล้เคียงจังหวัดนีงาตะหรืออาโอโมริตามบริบททางธรณีวิทยา) ที่ยอมรับว่า แรงเหวี่ยงจากการสั่นสะเทือนทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Sloshing” (การกระฉอกของของเหลวในภาชนะปิด) ภายในบ่อเก็บเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว
รายงานระบุว่า น้ำที่มีการปนเปื้อนกัมมันตรังสีระดับต่ำจำนวนประมาณ 15-20 ลิตร ได้ล้นออกมาจากบ่อเก็บและเจิ่งนองบริเวณพื้นอาคาร แม้ทางบริษัทจะยืนยันเสียงแข็งว่า “น้ำรั่วโรงไฟฟ้านิวเคลียร์” ครั้งนี้ ไม่มีการรั่วไหลออกสู่สภาพแวดล้อมภายนอก และระดับรังสีโดยรอบโรงงานยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ข่าวนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลงทันทีในภาคเช้า และจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียอย่างรุนแรง
ดร. เคนจิ ยามาชิตะ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์ ให้ทัศนะที่น่าสนใจว่า “ในทางเทคนิค ปริมาณน้ำที่ล้นออกมาถือว่าน้อยมากและไม่อันตราย แต่ในทางการเมืองและสังคม นี่คือหายนะทางความเชื่อมั่น มันแสดงให้เห็นว่าแม้เราจะมีการเตรียมพร้อมมาดีแค่ไหน ธรรมชาติก็ยังมีวิธีที่ทำให้เราจนมุมได้เสมอ คำถามคือระบบกักเก็บสำรองทำงานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่?”

34 ชีวิตที่ได้รับผลกระทบ ภาพสะท้อนสังคมผู้สูงอายุ
ตัวเลขผู้บาดเจ็บ 34 ราย อาจดูไม่มากเมื่อเทียบกับขนาดของแผ่นดินไหวระดับ 7.5 แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของโครงสร้างประชากรญี่ปุ่น รายงานระบุว่ากว่า 70% ของผู้บาดเจ็บเป็นผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังจุดหลบภัยได้ทันท่วงที
หน่วยงานกู้ภัยและกองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) ได้ระดมกำลังเข้าช่วยเหลือในพื้นที่ที่ถูกตัดขาด โดยมีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ติดตั้งระบบทำความร้อนและไฟฟ้าสำรอง การจัดการภัยพิบัติครั้งนี้ได้รับการชื่นชมว่ามีความรวดเร็วและเป็นระบบกว่าครั้งก่อนๆ แต่ความท้าทายคือการดูแลสภาพจิตใจของผู้ประสบภัยที่ยังคงหวาดผวากับอาฟเตอร์ช็อก (Aftershocks) ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นัยยะทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ การเดิมพันของรัฐบาล
เหตุการณ์ แผ่นดินไหวญี่ปุ่น 7.5 ครั้งนี้ เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง รัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังพยายามผลักดันนโยบาย “Green Transformation” (GX) ซึ่งมีแกนหลักคือการกลับมาเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่หยุดไปหลังวิกฤตฟุกุชิมะ เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานนำเข้าที่มีราคาแพงและลดการปล่อยคาร์บอน
การเกิดอุบัติการณ์น้ำปนเปื้อนรั่วไหล แม้เพียงเล็กน้อย อาจกลายเป็น “กระสุน” ให้กับพรรคฝ่ายค้านและกลุ่มนักเคลื่อนไหวสิ่งแวดล้อมในการคัดค้านการรีสตาร์ทโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งอื่นๆ ทั่วประเทศ
“รัฐบาลอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก” นักวิเคราะห์จาก Nikkei Asia ระบุ “หากชะลอแผนนิวเคลียร์ เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะแบกรับต้นทุนพลังงานไม่ไหว แต่หากเดินหน้าต่อโดยไม่เคลียร์ข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยจากเหตุการณ์นี้ คะแนนนิยมของรัฐบาลอาจดิ่งลงเหว”
มุมมองจากเพื่อนบ้านและประชาคมโลก
ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้และจีน ได้แสดงท่าทีจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นการรั่วไหลของกัมมันตรังสี ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทางการเกาหลีใต้ได้สั่งการให้หน่วยงานความปลอดภัยนิวเคลียร์เพิ่มความถี่ในการตรวจวัดระดับรังสีในทะเลและอากาศทันที เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนของตน
ในขณะเดียวกัน ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) แถลงว่าได้รับทราบรายงานเหตุการณ์แล้ว และพร้อมส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าสนับสนุนหากได้รับการร้องขอ โดยย้ำว่า “ความโปร่งใสของข้อมูล” คือกุญแจสำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้
บทสรุป บทเรียนที่ไม่มีวันจบสิ้น
เหตุการณ์ แผ่นดินไหวญี่ปุ่น 7.5 และเหตุน้ำรั่วไหลจากโรงเก็บเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในครั้งนี้ เป็นเครื่องเตือนใจที่ทรงพลังว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาและควบคุมได้ 100% แม้ญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มีมาตรฐานวิศวกรรมต้านแผ่นดินไหวดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ความเสี่ยงจากเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นยังคงเป็นสมการที่ซับซ้อน
ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเร่งฟื้นฟูพื้นที่และความสงบสุขของผู้คน สิ่งที่ต้องซ่อมแซมไปพร้อมกันคือ “ความไว้วางใจ” ของสาธารณชน ที่มีต่อความปลอดภัยของพลังงานนิวเคลียร์ บทสรุปของเหตุการณ์นี้อาจไม่ใช่แค่การซ่อมแซมรอยร้าวของอาคาร แต่คือการรื้อโครงสร้างวิธีคิดในการรับมือภัยพิบัติในอนาคต
แหล่งที่มาจาก : am2con