พนมเปญ, กัมพูชา – ความเงียบสงบบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ดำเนินมานานกว่าทศวรรษ กำลังถูกสั่นคลอนด้วยสงครามวาทกรรมและเสียงระเบิดปริศนา ล่าสุด กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ด่วน ปฏิเสธรายงานข่าวลือเรื่องการระดมพลและ กัมพูชาปฏิเสธข่าวเคลื่อนย้ายอาวุธ หนักเข้าสู่พื้นที่พิพาทใกล้ปราสาทพระวิหาร พร้อมทั้งเปิดฉากโต้กลับด้วยข้อกล่าวหาที่รุนแรงว่า กองทัพไทยได้ทำการ “ยิงกระสุนปืนใหญ่” ลุกล้ำเข้ามาในอธิปไตยของกัมพูชาถึง 2 ครั้งภายในระยะเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง สถานการณ์ที่ตึงเครียดฉับพลันนี้ กำลังถูกจับตามองจากนักยุทธศาสตร์ทั่วโลกว่าเป็นเพียง “อุบัติเหตุ” หรือ “เจตนา” เพื่อสร้างอำนาจต่อรองใหม่ในภูมิภาค

แถลงการณ์ร้อนจากพนมเปญ “เราไม่ได้เริ่ม แต่เราถูกกระทำ”
โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนต่างประเทศในกรุงพนมเปญเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงกรณีที่มีภาพถ่ายดาวเทียมและคลิปวิดีโอแพร่สะพัดในโซเชียลมีเดีย ซึ่งอ้างว่าเป็นขบวนรถบรรทุกทหารและปืนใหญ่ของกองทัพกัมพูชา (RCAF) กำลังมุ่งหน้าสู่จังหวัดพระวิหาร
“ภาพที่ปรากฏในโซเชียลมีเดีย เป็นเพียงการหมุนเวียนกำลังพลตามวงรอบปกติ และการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ภายในฐานที่มั่นเดิม ไม่มีการเสริมกำลังเพื่อเตรียมทำสงครามแต่อย่างใด” โฆษกฯ กล่าวยืนยัน พร้อมย้ำว่า กัมพูชาปฏิเสธข่าวเคลื่อนย้ายอาวุธ ในลักษณะเชิงรุกโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญของแถลงการณ์อยู่ที่การเปิดเผยข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 7 และ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา ตรวจพบการยิงอาวุธหนักจากฝั่งไทย เข้ามาตกในพื้นที่ป่าของอำเภอจอมกระสาน จังหวัดพระวิหาร
“เราขอประณามการกระทำยั่วยุนี้ เราตรวจพบการระเบิด 2 ครั้ง ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าเป็นกระสุนวิถีโค้งจากฝั่งไทย แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงชายแดนอย่างร้ายแรง”
ฝั่งไทยโต้กลับ “แค่การฝึกซ้อม ไม่มีการลุกล้ำ”
ด้านแหล่งข่าวระดับสูงจากกองทัพภาคที่ 2 ของไทย ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวทันควัน โดยระบุว่าเสียงระเบิดที่ทางกัมพูชาได้ยิน น่าจะมาจากการฝึกซ้อมรบด้วยกระสุนจริงในพื้นที่ฝึกภายในเขตไทย ซึ่งอยู่ห่างจากเส้นเขตแดนอย่างชัดเจน และไม่มีกระสุนนัดใดข้ามไปยังฝั่งเพื่อนบ้าน
“นี่คือความเข้าใจคลาดเคลื่อน กองทัพไทยยึดมั่นในนโยบายความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน เรามีการแจ้งเตือนล่วงหน้าผ่านช่องทาง TBC (คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น) แล้ว แต่ดูเหมือนข้อมูลจะไปไม่ถึงระดับปฏิบัติการบางส่วนของอีกฝั่ง” แหล่งข่าวระบุ

วิเคราะห์ปมขัดแย้ง ทำไมต้องตอนนี้? (The Timing)
หากพิจารณาเพียงผิวเผิน เหตุการณ์นี้อาจดูเหมือนการกระทบกระทั่งตามแนวชายแดนทั่วไป แต่เมื่อนักวิเคราะห์เจาะลึกถึงบริบทแวดล้อม จะพบว่า “จังหวะเวลา” ของเหตุการณ์มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับ 3 ปัจจัยหลัก
- เดิมพันพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA – Overlapping Claims Area) รัฐบาลไทยและกัมพูชากำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์แหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย มูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท ภายใต้แรงกดดันจากราคาพลังงานโลก การสร้างความตึงเครียดทางบก (ชายแดนพระวิหาร) มักเป็นกลยุทธ์คลาสสิกในตำราความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อใช้เป็น “ไพ่ตาย” ในการบีบให้คู่เจรจายอมผ่อนปรนในข้อตกลงทางทะเล
- การเมืองภายในและการสร้างชาติ (Nationalism) ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทย แต่การแสดงจุดยืนที่เข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตย ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาฐานคะแนนเสียงและบารมีทางการเมือง โดยเฉพาะเมื่อมีกระแสข่าวลือในโซเชียลมีเดีย การออกมา กัมพูชาปฏิเสธข่าวเคลื่อนย้ายอาวุธ พร้อมกล่าวหาไทยกลับ จึงเป็นการเดินเกมเพื่อแสดงภาวะผู้นำ
- สงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) ในยุคดิจิทัล “คลิปวิดีโอรถถัง” (ซึ่งอาจเป็นคลิปเก่า) สามารถจุดชนวนความขัดแย้งได้เร็วกว่ากระสุนจริง ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ตั้งข้อสังเกตว่า ข่าวลือเรื่องการเคลื่อนย้ายอาวุธอาจถูกปั่นกระแสโดย “มือที่สาม” หรือกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการดิสเครดิตความสัมพันธ์ของทั้งสองรัฐบาล
นัยยะทางยุทธศาสตร์ จาก “สนามรบ” สู่ “สนามการค้า” ที่เปราะบาง
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นความเปราะบางของกลไกการแก้ไขปัญหาชายแดน แม้จะมีกลไกคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) แต่ความหวาดระแวงในระดับรากหญ้าและระดับปฏิบัติการยังคงมีอยู่สูง
ดร. โสภณ (นามสมมติ) นักวิจัยอาวุโสด้านความมั่นคงลุ่มน้ำโขง ให้ทัศนะว่า
“ไทยและกัมพูชาเปรียบเสมือนลิ้นกับฟัน แม้จะมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น แต่ประเด็นเขตแดนคือจุดตาย (Flashpoint) ที่พร้อมปะทุ การที่กัมพูชาเลือกใช้ถ้อยคำที่รุนแรงในแถลงการณ์ แทนที่จะยกหูโทรศัพท์คุยกันเงียบๆ แสดงให้เห็นว่าพวกเขามี ‘ข้อความ’ บางอย่างที่ต้องการส่งถึงกรุงเทพฯ อย่างเป็นทางการ”
ผลกระทบต่อภูมิภาคและภาคธุรกิจ
ทันทีที่มีข่าว กัมพูชาปฏิเสธข่าวเคลื่อนย้ายอาวุธ แต่ยืนยันเรื่องการถูกยิง บรรยากาศการค้าชายแดนด่านช่องจอมและด่านอรัญประเทศเริ่มมีความกังวล ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าบางรายเริ่มชะลอการขนส่งเพื่อรอดูสถานการณ์
ในระดับภูมิภาค อาเซียนกำลังจับตามองด้วยความเป็นห่วง ความขัดแย้งระหว่างสมาชิกด้วยกันเองจะเป็นอุปสรรคต่อความเป็นปึกแผ่น โดยเฉพาะในช่วงที่อาเซียนต้องรับมือกับปัญหามหาอำนาจจีน-สหรัฐฯ หากไทยและกัมพูชาไม่สามารถจัดการความขัดแย้งนี้ได้โดยเร็ว อาจเปิดช่องให้มหาอำนาจภายนอกเข้ามาแทรกแซงในนามของ “ผู้ไกล่เกลี่ย” ซึ่งอาจทำให้สมดุลอำนาจในภูมิภาคเปลี่ยนไป
บทสรุป ทางออกที่ต้องใช้ “สติ” มากกว่า “กระสุน”
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตสงคราม แต่เป็นภาวะ “สันติภาพที่ตึงเครียด” (Tense Peace)
การที่ กัมพูชาปฏิเสธข่าวเคลื่อนย้ายอาวุธ ถือเป็นการลดดีกรีความร้อนแรงในระดับหนึ่ง (De-escalation) โดยปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้เตรียมรบ แต่ในขณะเดียวกันข้อกล่าวหาเรื่องการยิงปืนก็เป็นสิ่งที่กองทัพไทยต้องชี้แจงให้ชัดเจนด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
ทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้ คือการเร่งเปิดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) นัดพิเศษ เพื่อให้แม่ทัพภาคของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันหน้าต่อหน้า การสื่อสารที่รวดเร็วและโปร่งใสเท่านั้นที่จะสยบข่าวลือและป้องกันไม่ให้ “ประกายไฟ” ทางการเมือง ลุกลามกลายเป็น “ไฟบรรลัยกัลป์” ที่เผาผลาญความสัมพันธ์อันยาวนานของทั้งสองประเทศ
เพราะในท้ายที่สุด ทั้งไทยและกัมพูชาต่างรู้ดีว่า สงครามมีแต่ผู้แพ้ แต่การเจรจา (โดยเฉพาะเรื่องพลังงาน) อาจนำมาซึ่งชัยชนะร่วมกัน (Win-Win Solution) ที่มหาศาลกว่าค่ากระสุนปืนใหญ่หลายล้านเท่า
แหล่งที่มาจาก : am2con