กราดยิงบาร์แอฟริกาใต้ 12 ชีวิตสังเวยกระสุนปริศนา รวมเด็ก 3 ราย สะท้อนวิกฤต “แดนมิคสัญญี” ที่ไร้กฎหมายควบคุม

กราดยิงบาร์แอฟริกาใต้

โจฮันเนสเบิร์ก, แอฟริกาใต้ – ความเงียบสงัดของค่ำคืนวันเสาร์ในย่านทาวน์ชิปชานเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ถูกทำลายลงด้วยเสียงปืนไรเฟิลจู่โจมที่ดังรัวติดต่อกันนับร้อยนัด สิ่งที่ตามมาไม่ใช่เพียงความโกลาหล แต่คือโศกนาฏกรรมนองเลือดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี เมื่อเกิดเหตุ กราดยิงบาร์แอฟริกาใต้ ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 12 ศพ โดยสิ่งที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลกคือ ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีเด็กและเยาวชนรวมอยู่ด้วยถึง 3 ราย เหตุการณ์นี้ไม่เพียงตอกย้ำภาพลักษณ์ความรุนแรงของประเทศ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนภัยถึงการขยายอำนาจของ “รัฐซ้อนรัฐ” ที่กลุ่มอาชญากรมีอำนาจเหนือกว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

Mass shooting at a South African bar leaves 12 dead, including 3 children

คืนวันเสาร์สีเลือด ลำดับเหตุการณ์สังหารหมู่

เหตุสยองขวัญเกิดขึ้น ณ ร้านเหล้าท้องถิ่น หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Shebeen” ในชุมชนแออัดแห่งหนึ่ง (ทางการขอสงวนชื่อชุมชนเพื่อป้องกันความขัดแย้งบานปลาย) ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมของคนในพื้นที่

พยานผู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด เล่าให้ทีมข่าวฟังด้วยอาการตื่นตระหนกว่า กลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวน สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ขับรถกระบะสีขาวไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาจอดที่หน้าร้าน ก่อนจะใช้อาวุธสงคราม ซึ่งคาดว่าเป็นปืนไรเฟิลตระกูล AK-47 กราดยิงเข้าไปในฝูงชนที่กำลังสังสรรค์อยู่อย่างไม่เลือกหน้า (Indiscriminate Shooting)

“พวกเขาไม่ได้มาเพื่อปล้น พวกเขามาเพื่อฆ่า” พยานระบุ “เสียงปืนดังสนั่นเหมือนเราอยู่ในสนามรบ คนล้มลงเหมือนใบไม้ร่วง เด็กๆ ที่ขายของอยู่หน้าร้านและบางคนที่รอพ่อแม่ ถูกลูกหลงเสียชีวิตคาที่”

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติแอฟริกาใต้ (SAPS) แถลงยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิต 12 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกกว่า 9 คน ซึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงแล้ว อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ (72 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ) เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถระบุตัวคนร้ายหรือจับกุมผู้ต้องสงสัยได้แม้แต่รายเดียว

เด็กบริสุทธิ์ในสมรภูมิผู้ใหญ่

ประเด็นที่สร้างความโกรธแค้นให้กับสาธารณชนมากที่สุดในเหตุการณ์ กราดยิงบาร์แอฟริกาใต้ ครั้งนี้ คือการเสียชีวิตของเด็ก 3 คน ที่มีอายุระหว่าง 13-15 ปี

ในบริบทของแอฟริกาใต้ ร้าน Shebeen ไม่ได้เป็นเพียงบาร์ขายเหล้า แต่เปรียบเสมือน “ศูนย์กลางชุมชน” (Community Hub) ที่ผู้คนมารวมตัวกันดูฟุตบอล ฟังเพลง และสังสรรค์ บ่อยครั้งที่เด็กๆ ในชุมชนจะจับกลุ่มเล่นกันอยู่บริเวณภายนอกร้าน การกราดยิงแบบเหวี่ยงแหจึงทำให้เด็กเหล่านี้ตกเป็นเป้ากระสุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นางโนมซา (Nomsa) ป้าของหนึ่งในเหยื่อเยาวชน กล่าวทั้งน้ำตา

“หลานของฉันแค่ไปซื้อขนมที่ร้านข้างๆ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมคนพวกนี้ถึงโหดเหี้ยมขนาดนี้? รัฐบาลบอกว่าจะปกป้องเรา แต่เมื่อคืนตำรวจมาช้าไป 2 ชั่วโมง ในทาวน์ชิปนี้ ชีวิตพวกเรามีค่าน้อยกว่ากระสุนปืนเสียอีก”

Shooting at South African bar leaves 11 dead, including a young child,  police say | Reuters

ปมปริศนา สงครามแย่งถิ่น หรือ การรีดไถค่าคุ้มครอง?

แม้แรงจูงใจในการก่อเหตุยังไม่ถูกสรุปอย่างเป็นทางการ แต่นักวิเคราะห์อาชญากรรมและแหล่งข่าวในพื้นที่ต่างชี้เป้าไปที่ปัญหาเรื้อรัง 2 ประการที่กำลังกัดกินสังคมแอฟริกาใต้

  1. มาเฟียค่าคุ้มครอง (Protection Mafia) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มอาชญากรในแอฟริกาใต้ได้เปลี่ยนรูปแบบจากการปล้นทรัพย์ มาเป็นการ “รีดไถอย่างเป็นระบบ” ธุรกิจร้านค้า ผับ บาร์ และโครงการก่อสร้าง ถูกบังคับให้จ่าย “ค่าคุ้มครอง” (Protection Fee) หากใครขัดขืน บทลงโทษคือความตาย การกราดยิงครั้งนี้อาจเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” เพื่อข่มขู่ร้านอื่นๆ ในย่านเดียวกันให้ยอมจ่ายเงิน
  2. สงครามแก๊งค้ายาและพื้นที่ การแย่งชิงพื้นที่จำหน่ายยาเสพติดในทาวน์ชิป เป็นอีกหนึ่งชนวนเหตุสำคัญ กลุ่มแก๊งใหม่อาจต้องการประกาศศักดาเพื่อยึดครองพื้นที่จากเจ้าถิ่นเดิม โดยใช้ความรุนแรงขั้นสูงสุดเพื่อสร้างความหวาดกลัว

สถิติที่น่าตกใจ เมื่อการฆาตกรรมกลายเป็นเรื่องปกติ

เหตุการณ์ กราดยิงบาร์แอฟริกาใต้ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว ข้อมูลจากสถาบันเพื่อความมั่นคงศึกษา (Institute for Security Studies – ISS) ระบุว่า อัตราการฆาตกรรมในแอฟริกาใต้พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยมีผู้ถูกฆาตกรรมกว่า 80 คนต่อวัน

ความแพร่หลายของอาวุธปืนเถื่อนเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ปืนที่ถูกขโมยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน หาซื้อได้ง่ายในตลาดมืด ทำให้ความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยสามารถยกระดับเป็นโศกนาฏกรรมหมู่ได้ในพริบตา

ดร. โจฮัน เบอร์เกอร์ (Dr. Johan Burger) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมวิทยา ให้ทัศนะว่า

“ระบบข่าวกรองของตำรวจในระดับชุมชนล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ตำรวจรู้ว่าใครเป็นขาใหญ่ในพื้นที่ แต่ไม่มีหลักฐานหรือศักยภาพพอที่จะจับกุม วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด (Culture of Impunity) ทำให้คนร้ายไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพราะพวกเขารู้ว่าโอกาสที่จะถูกจับและลงโทษมีน้อยมาก”

Mass Shooting At South Africa Bar Leaves 12 Dead, Including 3 Kids

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำซากส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจรากหญ้า เจ้าของร้านค้าขนาดเล็กเริ่มถอดใจและปิดกิจการ เพราะแบกรับความเสี่ยงและค่าคุ้มครองไม่ไหว ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียรายได้และการจ้างงานในชุมชนที่ยากจนอยู่แล้ว ซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำให้รุนแรงยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ความไม่ปลอดภัยยังกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มลังเลที่จะเดินทางมายังแอฟริกาใต้ หรือจำกัดการเดินทางอยู่เฉพาะในโซนปลอดภัย ซึ่งทำให้เม็ดเงินไม่กระจายสู่ชุมชนท้องถิ่น

มุมมองเสริม บทเรียนสำหรับสังคมโลกและไทย

แม้บริบทของแอฟริกาใต้อาจดูรุนแรงกว่าหลายประเทศ แต่รากฐานของปัญหาคือ “ความเหลื่อมล้ำ” และ “การเข้าถึงอาวุธปืน” ซึ่งเป็นประเด็นสากล

สำหรับประเทศไทย เหตุการณ์นี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในเรื่องการควบคุมอาวุธปืนและอิทธิพลมืด การปล่อยให้มีผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นเรียกรับผลประโยชน์ หรือการมีอาวุธปืนในครอบครองง่ายเกินไป อาจนำไปสู่จุดแตกหักที่ความรุนแรงกลายเป็นเครื่องมือตัดสินปัญหาแทนกฎหมาย

บทสรุป การตามล่าที่ไร้ความหวัง?

ขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 12 รายกำลังเตรียมจัดงานศพ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและหวาดระแวง คำถามที่ดังก้องอยู่ในใจของชาวแอฟริกาใต้ทุกคนคือ “ใครจะเป็นรายต่อไป?”

การ กราดยิงบาร์แอฟริกาใต้ ครั้งนี้ เป็นบททดสอบสำคัญของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ว่าจะสามารถกอบกู้ศรัทธาและคืนความปลอดภัยให้กับประชาชนได้หรือไม่ หากยังไม่มีการปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจัง และกวาดล้างขบวนการมาเฟียอย่างถอนรากถอนโคน เหตุการณ์ลักษณะนี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็นความปกติใหม่ที่โหดร้ายของดินแดนสายรุ้งแห่งนี้

แหล่งที่มาจาก : am2con