(MANILA) — ท้องถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่ทำเนียบมาลากันยัง (Malacañang Palace) ในกรุงมะนิลา วันนี้ไม่ได้เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนเหมือนสัปดาห์ก่อน แต่กลับเนืองแน่นไปด้วยคลื่นมหาชนที่สวมเสื้อกันฝนและถือป้ายประท้วงด้วยความโกรธแค้น กลุ่มผู้ชุมนุมนับหมื่นคนได้ยกระดับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาล กรณีข้อครหา ทุจริตโครงการป้องกันน้ำท่วม ที่ถูกเปิดโปงว่ามีการรั่วไหลของงบประมาณมหาศาล สวนทางกับสภาพความเป็นจริงที่ประชาชนยังคงต้องจมอยู่ใต้น้ำทุกครั้งที่ฝนตกลงมา

ฟางเส้นสุดท้าย เม็ดเงินที่หายไปกับพายุ
จุดแตกหักของความอดทนเกิดขึ้นหลังจากพายุไต้ฝุ่นระลอกล่าสุดพัดถล่มเกาะลูซอนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้พื้นที่ซึ่งรัฐบาลเคยประกาศว่าเป็น “เขตปลอดน้ำท่วม” (Flood-free zones) กลับจมอยู่ใต้บาดาลนานกว่า 48 ชั่วโมง สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินค่าไม่ได้
แกนนำกลุ่มผู้ประท้วงจากพันธมิตร “Bayan” (Bagong Alyansang Makabayan) ได้ปราศรัยโจมตีอย่างดุเดือด โดยอ้างถึงรายงานลับที่รั่วไหลออกมาจากคณะกรรมการตรวจสอบบัญชี (COA) ซึ่งบ่งชี้ว่าโครงการก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำและระบบระบายน้ำในเมโทรมะนิลาหลายแห่ง เป็นเพียง “โครงการผี” (Ghost Projects) หรือมีการใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน
“เราไม่ได้ตายเพราะภัยธรรมชาติ แต่เรากำลังถูกฆ่าโดยนักการเมืองที่สูบเลือดสูบเนื้อจากภาษีของเรา” มาเรีย ซานโตส แกนนำเยาวชนตะโกนผ่านเครื่องขยายเสียง “พวกเขามีบ้านหรูบนเนินเขา แต่ปล่อยให้พวกเราจมน้ำตายในสลัม ทั้งที่งบประมาณ ทุจริตโครงการป้องกันน้ำท่วม เหล่านั้นมากพอที่จะสร้างเมืองใหม่ได้ทั้งเมือง”
เจาะลึกกลโกง “Pork Barrel” ในรูปแบบใหม่?
ประเด็นที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษคือบทบาทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงโยธาธิการและทางหลวง (DPWH) แหล่งข่าวเชิงลึกระบุว่า แม้ศาลสูงฟิลิปปินส์จะเคยสั่งห้ามระบบงบประมาณ สส. หรือ “Pork Barrel” ไปแล้วในอดีต แต่รูปแบบการคอร์รัปชันได้วิวัฒนาการไปสู่การ “ล็อกสเปก” โครงการสาธารณูปโภคแทน
รูปแบบความผิดปกติที่ถูกตั้งข้อสังเกต
- โครงการซ้ำซ้อน มีการเบิกงบประมาณขุดลอกคลองเดิมซ้ำๆ หลายครั้งในรอบปีโดยไม่มีการดำเนินงานจริง
- เขื่อนกระดาษ โครงการสร้างผนังกั้นน้ำมูลค่าหลายร้อยล้านเปโซ ที่ในความเป็นจริงเป็นเพียงการนำกระสอบทรายมาวางเรียง หรือก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา
- ส่วนต่างมหาศาล การจัดซื้อเครื่องสูบน้ำในราคาสูงกว่าท้องตลาดถึง 300% โดยเชื่อมโยงกับบริษัทนอมินีของนักการเมือง
เสียงจากรัฐสภาและทำเนียบประธานาธิบดี
แรงกดดันจากท้องถนนส่งผลให้บรรยากาศในรัฐสภาตึงเครียด ฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติด่วนเพื่อขอเปิดอภิปรายและตั้งคณะกรรมาธิการสอบสวนเส้นทางการเงินของ สส. และข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการเหล่านี้
โฆษกประธานาธิบดีได้ออกมาแถลงด่วนเพื่อลดอุณหภูมิความร้อนแรง โดยระบุว่า “ท่านประธานาธิบดีได้รับทราบข้อกังวลของพี่น้องประชาชนแล้ว และได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับสำนักงานปราบปรามการทุจริต (Ombudsman) ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงใน ทุจริตโครงการป้องกันน้ำท่วม ทุกโครงการ หากพบผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมายสูงสุด”
อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงดังกล่าวดูเหมือนจะไม่สามารถดับไฟแค้นของผู้ชุมนุมได้ เนื่องจากประชาชนมองว่านี่เป็นเพียง “ละครการเมือง” เพื่อซื้อเวลา เหมือนกับหลายๆ คดีในอดีตที่เงียบหายไป
มุมมองนักวิชาการ “ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น”
ศาสตราจารย์ ดร. อันโตนิโอ ลิม ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมชลประทานและผังเมือง จากมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ให้ทัศนะที่น่าสนใจว่า ปัญหาของฟิลิปปินส์ไม่ใช่การขาดแคลนงบประมาณ แต่คือ “ประสิทธิภาพของเม็ดเงิน”
“เรากู้เงินจากต่างประเทศมหาศาล ทั้งจาก ADB และ JICA เพื่อมาทำโครงการ Flood Control Master Plan แต่เงินเหล่านั้นรั่วไหลไประหว่างทางจนเหลือถึงหน้างานจริงเพียงน้อยนิด” ดร. ลิม กล่าว “ในยุคที่โลกเผชิญกับ Climate Change การ ทุจริตโครงการป้องกันน้ำท่วม ไม่ใช่แค่อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ แต่มันคืออาชญากรรมต่อมนุษยธรรม เพราะมันทำลายเกราะป้องกันเดียวที่ประชาชนมีต่อภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นทุกวัน”

บทเรียนสะท้อนถึงอาเซียนและไทย
สถานการณ์ในฟิลิปปินส์กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีบริบทปัญหาที่คล้ายคลึงกัน ทั้งในแง่ของภูมิศาสตร์ที่ต้องรับมือกับมรสุม และโครงสร้างการเมืองที่มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
สิ่งที่เกิดขึ้นในมะนิลาวันนี้ อาจเป็นภาพสะท้อนอนาคตของหลายเมืองใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากรัฐบาลยังคงล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำและปล่อยให้คอร์รัปชันกัดกินโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
บทสรุป เดิมพันครั้งใหญ่ของรัฐบาล
การประท้วงในวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากรัฐบาลฟิลิปปินส์ไม่สามารถนำตัว “ปลาใหญ่” หรือผู้บงการเบื้องหลังการ ทุจริตโครงการป้องกันน้ำท่วม มาลงโทษให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ วิกฤตศรัทธาครั้งนี้อาจลุกลามบานปลายจนกลายเป็นวิกฤตทางการเมืองที่สั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลทั้งคณะ
ประชาชนฟิลิปปินส์ได้ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า พวกเขาจะไม่ยอมจมน้ำตายไปพร้อมกับความเงียบอีกต่อไป และการต่อสู้ครั้งนี้คือการทวงคืน “สิทธิในการมีชีวิตรอด” จากเงื้อมมือของความโลภ
แหล่งที่มาจาก : am2con