(HONG KONG) — เช้าวันนี้ บรรยากาศเหนืออ่าววิกตอเรียเต็มไปด้วยความหม่นหมอง ธงชาติจีนและธงเขตบริหารพิเศษฮ่องกงถูกลดลงสู่ยอดเสา ท่ามกลางความเงียบงันที่เข้าปกคลุมมหานครแห่งการเงิน เมื่อทางการฮ่องกงประกาศเริ่มต้นช่วงเวลา ไว้อาลัย 3 วัน ให้กับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากโศกนาฏกรรม เหตุไฟไหม้ตึกฮ่องกง ที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เหตุเพลิงไหม้ที่อาคารที่พักอาศัยเก่าแก่ในย่านเกาลูนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ได้พรากชีวิตผู้คนไปถึง 128 ศพ ทิ้งไว้เพียงซากความเสียหายและคำถามสำคัญถึงความปลอดภัยในชีวิตของพลเมืองรากหญ้า
คืนทมิฬในย่านเกาลูน ลำดับเหตุการณ์แห่งความสูญเสีย
รายงานจากสำนักงานบริการดับเพลิงฮ่องกง (FSD) ระบุว่า ต้นเพลิงเกิดขึ้นเมื่อเวลา 02.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น บริเวณชั้นล่างของอาคารที่พักอาศัยความสูง 16 ชั้น อายุกว่า 60 ปี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตที่มีความหนาแน่นสูง อาคารดังกล่าวเป็นอาคารแบบผสม (Composite Building) ที่มีการดัดแปลงสภาพภายในอย่างหนาแน่น
พยานผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า “ไฟลุกลามเร็วยิ่งกว่านรก” สาเหตุหลักคาดว่ามาจากระบบไฟฟ้าลัดวงจรในพื้นที่เก็บของเก่าบริเวณโถงทางเดิน ก่อนที่เปลวเพลิงจะพุ่งขึ้นสู่ชั้นบนผ่านช่องลิฟต์และบันไดหนีไฟที่มีสิ่งกีดขวางวางระเกะระกะ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ปล่องไฟ” (Chimney Effect) ที่ดูดควันพิษและความร้อนเข้าสู่ห้องพักอาศัยอย่างรวดเร็ว
“ฉันได้ยินเสียงตะโกนและเสียงกระจกแตก แต่เมื่อเปิดประตูออกมา ควันสีดำก็พุ่งเข้าใส่หน้าทันที เราไม่มีทางหนี บันไดหนีไฟถูกล็อกและเต็มไปด้วยข้าวของ” หว่อง ซิ่ว-หลิง หญิงชราวัย 72 ปี ผู้รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เหยื่อของความเหลื่อมล้ำ เบื้องหลังตัวเลข 128 ศพ
ตัวเลข ผู้เสียชีวิต 128 ศพ ไม่ใช่เพียงแค่สถิติ แต่มันสะท้อนภาพความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของฮ่องกง ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ แรงงานข้ามชาติ และกลุ่มเปราะบางที่อาศัยอยู่ใน “ห้องเช่าแบ่งซอย” (Subdivided Flats) หรือที่รู้จักกันในนาม “บ้านกรงสุนัข” ภายในอาคารดังกล่าว
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าอาคารแห่งนี้มีการกั้นห้องผิดกฎหมายจำนวนมาก ทำให้ทางเดินแคบลงเหลือเพียงไม่ถึง 1 เมตร และระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง (Sprinklers) ไม่ทำงาน หรือไม่มีการติดตั้งในหลายจุด
ดร. แอนสัน ชาง นักวิชาการด้านผังเมืองจากมหาวิทยาลัยฮ่องกง ให้ทัศนะที่น่าสนใจว่า “นี่ไม่ใช่ภัยพิบัติทางอัคคีภัยเพียงอย่างเดียว แต่มันคือภัยพิบัติทางนโยบายที่อยู่อาศัย ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ตายเพราะไฟ แต่ตายเพราะไม่มีทางเลือก ต้องอาศัยอยู่ในกับดักมรณะที่มีราคาค่าเช่าแพงลิบลิ่ว ความหนาแน่นในตึกเก่าเหล่านี้คือระเบิดเวลาที่เราเตือนมาตลอด”

การตอบสนองของรัฐบาลและบรรยากาศการไว้อาลัย
นายจอห์น ลี (John Lee) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยตนเองในช่วงเช้า พร้อมประกาศมาตรการฉุกเฉินดังนี้
- ไว้อาลัยระดับชาติ ประกาศให้มีการ ไว้อาลัย 3 วัน โดยงดกิจกรรมรื่นเริง และลดธงครึ่งเสาในสถานที่ราชการทุกแห่ง
- การเยียวยา จัดตั้งกองทุนฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ
- การสืบสวน ตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงและเอาผิดผู้เกี่ยวข้องกับการดัดแปลงอาคารโดยผิดกฎหมาย
“เหตุการณ์นี้สร้างความเจ็บปวดให้กับหัวใจของชาวฮ่องกงทุกคน เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อหาคำตอบและป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก” จอห์น ลี แถลงผ่านสื่อมวลชน
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของรัฐบาลกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมว่า “วัวหายล้อมคอก” เนื่องจากปัญหานี้เป็นปัญหาเรื้อรังที่มีการเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายความปลอดภัยอาคาร (Fire Safety Ordinance) มาโดยตลอด แต่การบังคับใช้จริงกลับทำได้ยากเนื่องจากความซับซ้อนของกรรมสิทธิ์ในอาคารเก่า
นัยต่อเศรษฐกิจและสังคม เมื่อความเชื่อมั่นสั่นคลอน
เหตุไฟไหม้ตึกฮ่องกง ครั้งนี้ส่งแรงกระเพื่อมไปไกลกว่าเรื่องความปลอดภัย
- วิกฤตศรัทธา ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของรัฐบาลในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานเมืองที่เสื่อมโทรม (Aging Infrastructure)
- ผลกระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะมีการเทขายหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และอาจนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดเช่าที่พักอาศัยราคาถูก
- ภาพลักษณ์นานาชาติ ฮ่องกงในฐานะ “World City” ถูกตั้งคำถามเรื่องมาตรฐานคุณภาพชีวิต เมื่อเมืองที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกลับปล่อยให้ประชากรนับแสนต้องเสี่ยงชีวิตในที่อยู่อาศัยที่ไม่ได้มาตรฐาน
บทเรียนราคาแพงสำหรับภูมิภาคเอเชีย
เหตุการณ์ในฮ่องกงเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนไปยังมหานครอื่นๆ ในเอเชีย รวมถึงกรุงเทพมหานคร ที่ซึ่งอาคารสูงและชุมชนแออัดอยู่ร่วมกันอย่างเบียดเสียด การขาดการตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัยในอาคารเก่า และการต่อเติมที่ผิดกฎหมาย เป็นปัญหาที่พบเห็นได้ทั่วไป
ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมความปลอดภัยเตือนว่า หากไม่มีการปฏิรูปกฎหมายและการบังคับใช้อย่างจริงจัง “โศกนาฏกรรม 128 ศพ” ของฮ่องกง อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหายนะในเมืองใหญ่ที่ขยายตัวอย่างไร้ทิศทาง
บทสรุป รอยแผลเป็นที่ยากจะลบเลือน
ขณะที่ควันไฟเริ่มจางหาย สิ่งที่ปรากฏชัดคือรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ในใจกลางสังคมฮ่องกง ช่วงเวลา ไว้อาลัย 3 วัน อาจเพียงพอสำหรับการแสดงความเสียใจตามพิธีการ แต่ไม่เพียงพอที่จะเยียวยาความสูญเสียของ 128 ครอบครัว
จากนี้ไป สายตาของชาวโลกจะจับจ้องว่าฮ่องกงจะเปลี่ยน “ความสูญเสีย” ให้เป็น “การเปลี่ยนแปลง” ได้หรือไม่ หรือเหตุการณ์นี้จะถูกจารึกไว้เพียงแค่สถิติอีกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ความเหลื่อมล้ำของมหานครแห่งนี้ การแก้ปัญหา อาคารที่พักอาศัยเก่า และคุณภาพชีวิตของประชากร คือโจทย์หินที่รัฐบาลฮ่องกงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con