(London, UK) — ทะเลดำกลับมาเดือดระอุอีกครั้งเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เมื่อปฏิบัติการโจมตีด้วยโดรนผิวน้ำ (USV) ของยูเครน ประสบความสำเร็จในการโจมตีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ ไม่ใช่เรือรบติดอาวุธ แต่เป็น เรือบรรทุกน้ำมันรัสเซีย จำนวน 2 ลำ ขณะกำลังลำเลียงน้ำมันดิบออกจากท่าเรือโนโวรอสซียิสก์ (Novorossiysk) เหตุการณ์นี้นับเป็นการยกระดับความขัดแย้งสู่มิติใหม่ ที่มุ่งเป้าทำลายรายได้หลักของเครมลินโดยตรง ท้าทายความมั่นคงทางพลังงานและส่งสัญญาณเตือนไปยังตลาดน้ำมันโลก.

ปฏิบัติการ “ตัดท่อน้ำเลี้ยง” รายละเอียดการโจมตี
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงระบุว่า เหตุระเบิดเกิดขึ้นห่างกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงในช่วงเช้ามืดตามเวลาท้องถิ่น บริเวณน่านน้ำสากลใกล้กับช่องแคบเคิร์ชและเส้นทางเดินเรือหลักทางตะวันออกของทะเลดำ รายงานเบื้องต้นยืนยันว่า เรือบรรทุกน้ำมันรัสเซีย ลำแรกซึ่งเป็นเรือขนาดใหญ่ (Aframax) ได้รับความเสียหายอย่างหนักบริเวณห้องเครื่องและระบบขับเคลื่อนจนไม่สามารถเดินเรือต่อได้ ในขณะที่ลำที่สองถูกโจมตีเข้าที่กราบขวา ทำให้เกิดรอยรั่วขนาดใหญ่ แม้จะไม่มีรายงานน้ำมันรั่วไหลลงสู่ทะเลในปริมาณมหาศาลหรือลูกเรือเสียชีวิต แต่ภาพความเสียหายที่ปรากฏชัดเจนได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการขนส่งทางทะเล
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหน่วยความมั่นคงยูเครน (SBU) ซึ่งขอสงวนนาม ให้ข้อมูลกับสำนักข่าวต่างประเทศว่า “ทะเลดำไม่ใช่เซฟโซนสำหรับรัสเซียอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรือรบหรือเรือที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับการรุกรานยูเครน ตราบใดที่รัสเซียยังใช้รายได้จากน้ำมันมาผลิตขีปนาวุธถล่มเรา ทุกลำที่เกี่ยวข้องถือเป็นเป้าหมายที่ชอบธรรมทางทหาร”
การโจมตีครั้งนี้คาดว่าเป็นการใช้โดรนผิวน้ำรุ่นพัฒนาใหม่ (Sea Baby generation 2025) ที่มีระยะทำการไกลขึ้นและบรรทุกดินระเบิดได้มากกว่าเดิม สะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของยูเครนที่สามารถเจาะทะลุระบบป้องกันภัยทางทะเลของรัสเซียที่หนาแน่นได้
เปลี่ยนเป้าหมาย จากการจมเรือรบ สู่การบีบคั้นทางเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์การทหารมองว่า นี่คือการเปลี่ยนผ่านทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ หลังจากที่ยูเครนประสบความสำเร็จในการจำกัดการเคลื่อนไหวของกองเรือทะเลดำรัสเซียในปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเป้าหมายได้ขยายวงกว้างสู่ “กองเรือเงา” (Shadow Fleet) และเรือพาณิชย์ที่ขนส่งสินค้ายุทธปัจจัย
ทำไมต้องเป็นเรือบรรทุกน้ำมัน?
- รายได้หลัก น้ำมันและก๊าซยังคงเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่สุดของรัสเซียในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและสงคราม
- ต้นทุนต่ำ ผลกระทบสูง โดรนราคาไม่กี่แสนดอลลาร์ สามารถสร้างความเสียหายให้กับเรือมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ และสินค้ามูลค่ามหาศาล
- การคว่ำบาตรทางกายภาพ ในขณะที่มาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตก (Sanctions) อาจถูกหลบเลี่ยงได้ แต่ความเสียหายทางกายภาพจากการโจมตีคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ดร. เอเลน่า โควาเลฟสกา ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์พลังงานจากสถาบัน Chatham House ให้ความเห็นว่า “ยูเครนกำลังบังคับให้รัสเซียต้องเลือกระหว่างการใช้เรือรบเพื่อคุ้มกันเรือน้ำมัน หรือใช้เพื่อป้องกันฐานทัพ การโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันรัสเซียโดยตรงเช่นนี้ จะส่งผลให้ต้นทุนการประกันภัยเดินเรือ (War Risk Insurance) พุ่งสูงขึ้นทันที จนอาจทำให้กำไรจากการขายน้ำมันของรัสเซียลดฮวบ หรือทำให้ผู้รับซื้อไม่กล้าเสี่ยงขนส่งผ่านเส้นทางนี้”

ท่าทีของรัสเซียและผลกระทบต่อตลาดโลก
กระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็น “การก่อการร้ายทางเศรษฐกิจ” และขู่ว่าจะมีการตอบโต้ที่สาสม โดยล่าสุดมีการสั่งปิดน่านน้ำบางส่วนรอบท่าเรือโนโวรอสซียิสก์ชั่วคราวเพื่อกวาดล้างทุ่นระเบิดและโดรน ซึ่งท่าเรือแห่งนี้เป็นจุดส่งออกสำคัญที่รองรับน้ำมันดิบจากทั้งรัสเซียและคาซัคสถาน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 2% ของอุปทานน้ำมันโลก
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นและกลาง
- ราคาน้ำมันผันผวน ตลาดน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) และ WTI มีปฏิกิริยาดีดตัวขึ้นเล็กน้อยในการซื้อขายช่วงเช้า เนื่องจากความกังวลเรื่องอุปทานชะงักงัน
- ค่าระวางเรือพุ่ง บริษัทเดินเรือพาณิชย์อาจระงับการเดินเรือในทะเลดำ หรือเรียกเก็บค่าธรรมเนียมความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมหาศาล
- ปัญหาคอขวด หากท่าเรือโนโวรอสซียิสก์ถูกปิดกั้นเป็นเวลานาน จะส่งผลกระทบต่อประเทศที่สามและพันธมิตรของรัสเซียเองด้วย
สงครามที่ไร้พรมแดน นัยต่อภูมิรัฐศาสตร์
เหตุการณ์ ยูเครนโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันรัสเซีย ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นชัยชนะทางยุทธวิธี แต่ยังเป็นการส่งสารไปยังประชาคมโลกว่า สงครามครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแนวหน้าในสนามรบทางบกอีกต่อไป
การที่ยูเครนกล้าเปิดเกมรุกใส่เป้าหมายทางเศรษฐกิจโดยตรง อาจกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นจากฝั่งรัสเซีย โดยเฉพาะการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครน หรือการปิดกั้นเส้นทางเดินเรือสินค้าเกษตรอย่างถาวร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของโลกอีกครั้ง
“เรากำลังเข้าสู่เฟสใหม่ของสงคราม ที่เส้นแบ่งระหว่างเป้าหมายทางทหารและพลเรือนเริ่มเลือนลางลง” นักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ความมั่นคงกล่าวทิ้งท้าย “และทะเลดำกำลังกลายเป็นสมรภูมิเศรษฐกิจที่อันตรายที่สุดในโลก”
การโจมตีครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเรือสองลำที่เสียหาย แต่เป็นการประกาศศักราชใหม่ของสงครามทางทะเลสมัยใหม่ ที่เทคโนโลยีราคาถูกสามารถต่อกรกับมหาอำนาจ และเปลี่ยนดุลอำนาจทางเศรษฐกิจโลกได้ในชั่วข้ามคืน

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต
สถานการณ์ในทะเลดำหลังการโจมตี เรือบรรทุกน้ำมันรัสเซีย 2 ลำ ยังคงมีความเปราะบางสูง สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือปฏิกิริยาของบริษัทประกันภัยระดับโลก และการปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือของกลุ่ม “กองเรือเงา” หากยูเครนยังคงรักษาขีดความสามารถในการโจมตีเช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่อง รัสเซียอาจเผชิญกับวิกฤตรายได้ที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มสงคราม ซึ่งอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่จะบีบให้เกิดการเจรจา หรือในทางกลับกัน อาจนำไปสู่การยกระดับความรุนแรงที่ไม่อาจคาดเดาได้
แหล่งที่มาจาก : am2con