[วอชิงตัน ดี.ซี.] – ความเงียบสงบในยามวิกาลของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ถูกทำลายลงด้วยเสียงปืนและเสียงไซเรน เมื่อเกิดเหตุอุกอาจ ทหารสหรัฐฯ ถูกยิงใกล้ทำเนียบขาว และเสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีการประกาศภาวะล็อกดาวน์ (Lockdown) รอบเขตพื้นที่บริหารสูงสุดของสหรัฐอเมริกา และจุดชนวนความตึงเครียดระลอกใหม่ในใจกลางเมืองหลวงที่ได้รับการคุ้มกันหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
)
นาทีสังหารใน “โซนสีแดง”
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 02.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับช่วงบ่ายของประเทศไทย) บริเวณใกล้กับสวนสาธารณะลาฟาแยต (Lafayette Square) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทำเนียบขาว รายงานจากกรมตำรวจนครบาลวอชิงตัน (MPD) ระบุว่า ผู้เสียชีวิตเป็นทหารนายสิบสังกัดกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่รอบนอก
พยานผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3-4 นัด ก่อนจะเห็นรถยนต์ SUV สีดำขับหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็วทางถนนหมายเลข 16 (16th Street) ทหารหนุ่มวัย 24 ปี (ขอสงวนนามจนกว่าจะแจ้งญาติ) ถูกพบในสภาพได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกยิงเข้าที่บริเวณหน้าอก แม้หน่วยแพทย์ฉุกเฉินและเจ้าหน้าที่หน่วยอารักขาประธานาธิบดี (Secret Service) จะเร่งเข้าปฐมพยาบาลและนำส่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน แต่แพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้
มาตรการตอบโต้และการสืบสวนระดับชาติ
ทันทีหลังเกิดเหตุ หน่วยอารักขาประธานาธิบดี ได้สั่งปิดตายพื้นที่รอบทำเนียบขาว รัศมี 3 บล็อก ไม่อนุญาตให้มีการเข้า-ออกอย่างเด็ดขาด เจ้าหน้าที่สไนเปอร์ประจำดาดฟ้าทำเนียบถูกสั่งเตรียมพร้อมระดับสูงสุด ขณะที่สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ได้ส่งหน่วยพิสูจน์หลักฐานและหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายเข้าพื้นที่ทันทีเพื่อประเมินสถานการณ์
ประเด็นการสืบสวน โฆษก FBI แถลงสั้นๆ ว่า “ขณะนี้ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งความเป็นไปได้ของการก่อการร้ายในประเทศ (Domestic Terrorism) อาชญากรรมทั่วไป หรือความขัดแย้งส่วนตัว” อย่างไรก็ตาม การที่เป้าหมายเป็นเจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบ และจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากที่พำนักของประธานาธิบดีเพียงไม่กี่ร้อยเมตร ทำให้ฝ่ายความมั่นคงให้น้ำหนักไปที่การโจมตีที่มีการวางแผนล่วงหน้า

ช่องโหว่ความปลอดภัยในเมืองหลวง
เหตุการณ์ ทหารสหรัฐฯ ถูกยิงใกล้ทำเนียบขาว ครั้งนี้ ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่เป็นภาพสะท้อนของวิกฤตอาชญากรรมในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สถิติจากกรมตำรวจระบุว่า คดีฆาตกรรมและการจี้ปล้นรถยนต์ (Carjacking) ในเขตเมืองหลวงพุ่งสูงขึ้นกว่า 30%
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงจากสถาบันคลังสมองในวอชิงตัน ให้ทัศนะว่า “นี่คือสัญญาณอันตราย เมื่อพื้นที่ที่ควรจะปลอดภัยที่สุดอย่างรอบทำเนียบขาว ยังเกิดเหตุสังหารเจ้าหน้าที่รัฐได้ มันสะท้อนว่ากลุ่มอาชญากรหรือผู้ไม่หวังดีมีความเกรงกลัวกฎหมายน้อยลง และช่องว่างความปลอดภัยระหว่างเขตหวงห้ามกับพื้นที่สาธารณะกำลังกลายเป็นจุดตาย”
ปฏิกิริยาจากเพนตากอนและทำเนียบขาว
ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมยืนยันว่าประธานาธิบดีและครอบครัวปลอดภัยและไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะที่กระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) สั่งยกระดับการป้องกันตนเอง (Force Protection Condition) สำหรับเจ้าหน้าที่ทหารทุกคนที่ปฏิบัติงานในเขตเมืองหลวง
“การโจมตีทหารของเรา คือการโจมตีความมั่นคงของชาติ เราจะล่าตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้ทรัพยากรมากเพียงใด” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน

บทสรุป ความเปราะบางที่มองไม่เห็น
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ทิ้งคำถามใหญ่ไว้ให้กับสังคมอเมริกัน ในขณะที่สหรัฐฯ มุ่งมั่นปกป้องพันธมิตรทั่วโลก ความปลอดภัยของทหารในบ้านตัวเองกลับถูกท้าทายอย่างรุนแรง
การเสียชีวิตของทหารนายนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงมาตรการรักษาความปลอดภัยครั้งใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การเพิ่มจำนวนกล้องวงจรปิด AI และการขยายเขตกันชน (Buffer Zone) รอบสถานที่ราชการ แต่อีกด้านหนึ่ง มันคือเครื่องเตือนใจว่า ความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมอเมริกันได้ลุกลามเข้ามาประชิดศูนย์กลางอำนาจอย่างน่าใจหาย
แหล่งที่มาจาก : am2con