ไทเป, ไต้หวัน – ในโลกของการทูตระหว่างประเทศ บางครั้งอาวุธที่ทรงพลังที่สุดอาจไม่ใช่ขีปนาวุธหรือเรือบรรทุกเครื่องบิน แต่เป็นเพียง “ซูชิ” หนึ่งคำ ล่าสุด ประธานาธิบดี ไล่ ชิง-เต๋อ (William Lai) แห่งไต้หวัน ได้สร้างความฮือฮาในแวดวงการเมืองระหว่างประเทศ ด้วยการปรากฏตัวในกิจกรรมส่งเสริมอาหารญี่ปุ่น พร้อมโชว์รับประทานซูชิและอาหารทะเลอย่างเอร็ดอร่อย ท่ามกลางสายตาของสื่อมวลชน การกระทำที่ดูเรียบง่ายนี้กลับแฝงไปด้วยข้อความทางการเมืองที่ทรงพลัง ส่งตรงไปยังกรุงปักกิ่งและพันธมิตรทั่วโลก
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทความขัดแย้งที่ยังคงคุกรุ่น กรณีจีนประกาศแบนอาหารทะเลจากญี่ปุ่นสืบเนื่องจากการปล่อยน้ำบำบัดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ การขยับตัวของผู้นำไต้หวันครั้งนี้ จึงถูกมองว่าเป็นการเลือกข้างที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ
การทูตบนปลายตะเกียบ เมื่อรสชาติคือจุดยืน
ภาพของประธานาธิบดีไล่ ชิง-เต๋อ ที่กำลังคีบเนื้อปลาสดเข้าปากด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ถูกตีความโดยนักวิเคราะห์ความมั่นคงว่าเป็นการประกาศจุดยืน “Friend-shoring” หรือการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศพันธมิตรที่มีอุดมการณ์เดียวกัน
ในขณะที่จีนใช้มาตรการกีดกันทางการค้าเพื่อลงโทษญี่ปุ่น ไต้หวันภายใต้การนำของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) กลับเลือกที่จะเดินสวนทาง ด้วยการเปิดรับและส่งเสริมสินค้าญี่ปุ่น การกระทำนี้สะท้อนวาทกรรมที่ว่า “ศัตรูของศัตรู คือมิตร” และย้ำเตือนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระดับ “ครอบครัว” ระหว่างไต้หวันและญี่ปุ่น
“ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันและญี่ปุ่นเปรียบเสมือนคนในครอบครัว เราแบ่งปันค่านิยมประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และแน่นอน… รสชาติอาหารที่ยอดเยี่ยม เราจะยืนหยัดเคียงข้างกันไม่ว่าจะในยามสุขหรือยามทุกข์” — ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงทำเนียบประธานาธิบดีไต้หวัน (ระบุในงานที่เกี่ยวข้อง)
นัยยะทางภูมิรัฐศาสตร์ สานต่อ ‘วงแหวนแห่งพันธมิตร’
การที่ ไล่ ชิง-เต๋อ กินซูชิ ออกสื่อ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety) แต่เป็นการตอกย้ำยุทธศาสตร์ความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
- ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน (Mutual Trust) ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนไต้หวันอย่างไม่เป็นทางการที่สำคัญที่สุด การสนับสนุนสินค้าญี่ปุ่นในยามยาก เป็นการซื้อใจและกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
- การตอบโต้จีน (Countering China) เป็นการส่งสัญญาณว่าไต้หวันไม่เกรงกลัวต่อวาทกรรมหรือมาตรการคว่ำบาตรของจีน และพร้อมจะดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ
- ภาพลักษณ์ความทันสมัยและโปร่งใส ไต้หวันพยายามสื่อสารว่าตนยึดถือหลักวิทยาศาสตร์และมาตรฐานสากล (IAEA) ในการตรวจสอบความปลอดภัยของอาหาร ต่างจากจีนที่ถูกมองว่าใช้ประเด็นนี้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

ย้อนรอยความสัมพันธ์ จาก ‘สับปะรดเสรีภาพ’ สู่ ‘ปลาดิบแห่งความสามัคคี’
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาหารกลายเป็นเครื่องมือทางการทูตระหว่างไต้หวันและพันธมิตร ย้อนกลับไปเมื่อจีนสั่งแบนสับปะรดจากไต้หวัน อดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ก็เคยโพสต์ภาพตนเองคู่กับสับปะรดไต้หวันเพื่อช่วยโปรโมต จนเกิดเป็นกระแส “Freedom Pineapples”
ครั้งนี้ บทบาทได้สลับกัน ไต้หวันกลายเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าช่วยญี่ปุ่น การแลกเปลี่ยนไมตรีจิตผ่านสินค้าเกษตรและอาหารนี้ สร้างรากฐานทางอารมณ์ (Emotional Bonding) ให้กับประชาชนของทั้งสองชาติ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายความมั่นคงร่วมกันในอนาคต
เศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ตัวเลขที่ไม่โกหก
แม้จะมีเสียงคัดค้านจากบางกลุ่มในไต้หวันเกี่ยวกับความกังวลเรื่องกัมมันตภาพรังสี แต่ข้อมูลสถิติกลับชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่ง
- การนำเข้า ตัวเลขการนำเข้าอาหารทะเลและสินค้าเกษตรจากญี่ปุ่นมายังไต้หวันยังคงมีเสถียรภาพ และมีแนวโน้มเติบโตในกลุ่มร้านอาหารระดับพรีเมียม
- การท่องเที่ยว ชาวไต้หวันยังคงเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดอันดับต้นๆ ที่เดินทางไปเยือนญี่ปุ่น สะท้อนว่า “ซูชิ” และวัฒนธรรมญี่ปุ่นยังคงเป็นที่รักของชาวไต้หวัน

บทสรุป ซูชิหนึ่งคำ กับอนาคตของอินโด-แปซิฟิก
การโชว์กินซูชิของประธานาธิบดี ไล่ ชิง-เต๋อ อาจดูเป็นเพียงสีสันทางการเมือง แต่ในความเป็นจริง มันคือหมากกระดานสำคัญที่วางอยู่บนโต๊ะเจรจาระดับโลก มันคือการยืนยันว่าไต้หวันและญี่ปุ่นจะก้าวเดินไปด้วยกันในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ไม่อาจแยกขาด
ปักกิ่งอาจมองสิ่งนี้ด้วยความขุ่นเคือง แต่สำหรับพันธมิตรประชาธิปไตย นี่คือรสชาติของ “เสรีภาพ” และ “ความสามัคคี” ที่หอมหวานยิ่งกว่ารสชาติของอาหารใดๆ สถานการณ์ต่อไปที่ต้องจับตามองคือ จีนจะมีมาตรการตอบโต้ต่อความใกล้ชิดที่เพิ่มขึ้นนี้อย่างไร และญี่ปุ่นจะตอบแทนไมตรีจิตนี้ในรูปแบบความร่วมมือด้านความมั่นคงที่ชัดเจนขึ้นหรือไม่
แหล่งที่มาจาก : am2con