ภูเขาไฟเซเมรูปะทุรุนแรง อินโดนีเซียยกระดับเตือนภัยขั้นสูงสุด ระดมกำลังอพยพ 3 หมู่บ้านหนีตายท่ามกลางวิกฤต ‘เถ้าถ่านบดบังตะวัน’

ภูเขาไฟเซเมรูปะทุ

เกาะชวา, อินโดนีเซีย – ท้องฟ้าเหนือจังหวัดชวาตะวันออกกลับกลายเป็นสีเทาทะมึนในชั่วพริบตา เมื่อ ภูเขาไฟเซเมรูปะทุ ขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง ส่งผลให้ทางการอินโดนีเซียต้องประกาศยกระดับการเตือนภัยสู่ระดับสูงสุด (Level 4 Awas) พร้อมเร่งปฏิบัติการอพยพประชาชนใน 3 หมู่บ้านหลักออกจากพื้นที่เสี่ยงตายทันที ท่ามกลางความกังวลว่าประวัติศาสตร์ความสูญเสียอาจซ้ำรอย หากกระแสธารลาวาและความร้อนไหลบ่าเข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัย

เหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยครั้งล่าสุดนี้ ไม่เพียงแต่สั่นสะเทือนความมั่นคงในชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงการเฝ้าระวังภัยพิบัติในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะผลกระทบต่อการบินพาณิชย์และการเตรียมพร้อมรับมือภัยธรรมชาติในกลุ่มประเทศอาเซียน

Indonesia's Mount Semeru erupts, blanketing villages with ash and prompting  evacuations - Yahoo News Canada

นาทีวิกฤต เมื่อยักษ์หลับตื่นจากการจำศีล

ศูนย์บรรเทาภัยพิบัติทางธรณีวิทยาและภูเขาไฟแห่งอินโดนีเซีย (PVMBG) รายงานว่า การปะทุเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงเช้าตรู่ โดยภูเขาไฟเซเมรู ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดบนเกาะชวา ได้พ่นเถ้าถ่านภูเขาไฟพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นระยะทางกว่า 1.5 กิโลเมตร (ประมาณ 5,000 ฟุต) เหนือปากปล่องภูเขาไฟ ภาพความน่าสะพรึงกลัวปรากฏชัดเมื่อกลุ่มควันหนาทึบได้บดบังแสงอาทิตย์ เปลี่ยนช่วงเวลากลางวันให้มืดมิดคล้ายยามราตรี สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียง

สิ่งที่น่าวิตกที่สุดไม่ใช่เพียงเถ้าถ่านที่ตกลงมาเหมือนหิมะสีดำ แต่คือ “กระแสไพโรคลาสติก” (Pyroclastic Flows) หรือที่ชาวบ้านท้องถิ่นเรียกว่า “Wedhus Gembel” ซึ่งเป็นส่วนผสมของก๊าซร้อน เถ้าภูเขาไฟ และเศษหิน ที่ไหลลงมาตามลาดเขาด้วยความเร็วสูง อุณหภูมิของกระแสนี้สามารถสูงถึง 800 องศาเซลเซียส ทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า

“สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เราตรวจพบกิจกรรมทางความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการถล่มของโดมลาวาที่ปากปล่อง ทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยกระดับการเตือนภัยเป็นระดับ 4 ซึ่งหมายถึงอันตรายสูงสุด และประชาชนต้องออกจากพื้นที่เสี่ยงทันที” — โฆษกจาก PVMBG แถลงการณ์ด่วน

ปฏิบัติการอพยพ แข่งกับเวลาและมัจจุราช

ทันทีที่มีการประกาศยกระดับเตือนภัย สำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ (BNPB) ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและกองทัพ เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่สีแดง โดยเฉพาะใน 3 หมู่บ้านเป้าหมาย ได้แก่ หมู่บ้านซูมเบอร์วูลูห์ (Sumberwuluh), หมู่บ้านซูปีตูรัง (Supit Urang) และพื้นที่ใกล้เคียงในเขตลูมาจัง (Lumajang)

ภาพข่าวจากพื้นที่เผยให้เห็นความโกลาหลแฝงด้วยความหวาดกลัว ชาวบ้านจำนวนมากทั้งเด็กและผู้สูงอายุ พยายามขนย้ายทรัพย์สินเท่าที่จำเป็นขึ้นรถบรรทุกของทหารและรถจักรยานยนต์ส่วนตัว ท่ามกลางฝุ่นควันที่หนาตา เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องแจกจ่ายหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันระบบทางเดินหายใจล้มเหลวจากการสูดดมเถ้าซิลิก้าที่มีความคมละเอียด

มาตรการฉุกเฉินที่ประกาศใช้ทันที

  • เขตห้ามเข้า (Exclusion Zone) ห้ามทำกิจกรรมใดๆ ภายในรัศมี 8 กิโลเมตรจากยอดเขา และขยายเป็น 19 กิโลเมตรในทิศตะวันออกเฉียงใต้ตามแนวแม่น้ำที่ลาวาอาจไหลผ่าน
  • ศูนย์พักพิงชั่วคราว มีการจัดตั้งศูนย์อพยพในโรงเรียนและอาคารสาธารณะในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อรองรับผู้อพยพหลายพันคน
  • การเฝ้าระวังระดับภูมิภาค ญี่ปุ่นได้เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความเสี่ยงสึนามิ (แม้ภายหลังจะมีการยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ) แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของระบบเตือนภัยสากล

Mount Semeru Erupts and Rains Ash on Villages - The New York Times

รอยร้าวในวงแหวนแห่งไฟ บทเรียนซ้ำซากทางธรณีวิทยา

อินโดนีเซียตั้งอยู่บน “วงแหวนแห่งไฟ” (Ring of Fire) ซึ่งเป็นแนวรอยต่อของเปลือกโลกในมหาสมุทรแปซิฟิกที่มีความเคลื่อนไหวของแผ่นดินไหวและภูเขาไฟมากที่สุดในโลก การปะทุของ ภูเขาไฟเซเมรูปะทุ ในครั้งนี้ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นลอยๆ แต่เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความเปราะบางทางธรณีวิทยาที่ประชากรกว่า 270 ล้านคนของอินโดนีเซียต้องเผชิญ

นักธรณีวิทยาวิเคราะห์ว่า การปะทุครั้งนี้เกิดจากการสะสมตัวของแมกมาใต้เปลือกโลก ประกอบกับปัจจัยภายนอกอย่างฝนตกหนักที่กัดเซาะโดมลาวาบริเวณปากปล่อง ทำให้เกิดการพังทลายและปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างรุนแรง คล้ายคลึงกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเมื่อปี 2021 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 50 ราย

“การอาศัยอยู่ใต้เงาของภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น คือความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของประชากรบนเกาะชวา ความท้าทายไม่ใช่การห้ามการปะทุ แต่คือการพัฒนาระบบเตือนภัยที่ ‘แม่นยำ’ และ ‘รวดเร็ว’ พอที่จะรักษาชีวิตมนุษย์ไว้ได้” — ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยในจาการ์ตากล่าว

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม มากกว่าแค่เถ้าถ่าน

นอกเหนือจากวิกฤตด้านมนุษยธรรม การปะทุครั้งนี้ยังส่งผลกระทบในวงกว้าง

  1. การท่องเที่ยวและการบิน สนามบินนานาชาติจูอันดาในสุราบายา ซึ่งอยู่ใกล้เคียงที่สุด ต้องเฝ้าระวังทิศทางลมอย่างใกล้ชิด ศูนย์แนะนำเถ้าภูเขาไฟดาร์วิน (Darwin Volcanic Ash Advisory Centre) ได้ออกประกาศเตือนสายการบินถึงอันตรายจากเถ้าภูเขาไฟที่อาจทำลายเครื่องยนต์ของเครื่องบินได้
  2. โครงสร้างพื้นฐาน สะพานกราดัก เปราก (Gladak Perak) ซึ่งเพิ่งได้รับการซ่อมแซมจากการระเบิดครั้งก่อน กลับมาอยู่ในความเสี่ยงอีกครั้ง การตัดขาดเส้นทางคมนาคมนี้อาจส่งผลต่อการขนส่งสินค้าและเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างรุนแรง
  3. เกษตรกรรม พื้นที่เกษตรกรรมอันอุดมสมบูรณ์รอบตีนเขาถูกปกคลุมด้วยเถ้าภูเขาไฟ แม้ในระยะยาวเถ้าเหล่านี้จะกลายเป็นปุ๋ยชั้นดี แต่ในระยะสั้น มันคือหายนะที่ทำลายผลผลิตทางการเกษตรทั้งหมด

Indonesia evacuates stranded climbers after Semeru volcano erupts | The Star

บทสรุป การเฝ้าระวังที่ไม่สิ้นสุด

สถานการณ์ล่าสุดของ ภูเขาไฟเซเมรูปะทุ ยังคงอยู่ในภาวะวิกฤต รัฐบาลอินโดนีเซียและหน่วยงานกู้ภัยนานาชาติยังคงทำงานแข่งกับเวลาเพื่ออพยพประชาชนตกค้างและประเมินความเสียหาย เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในยุคที่โลกมีความผันผวนทางสภาพอากาศและธรณีวิทยา

สำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะไม่มีผลกระทบโดยตรงจากการปะทุครั้งนี้ แต่การติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดและการเรียนรู้จากระบบจัดการภัยพิบัติของอินโดนีเซีย เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในโลกที่ไร้พรมแดนทางภัยธรรมชาติ

แหล่งที่มาจาก : am2con