ประมูลภาพเขียนกุสตาฟ คลิมท์ ลอนดอน, สหราชอาณาจักร – ค่ำคืนที่ผ่านมา วงการศิลปะโลกต้องจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เมื่อเสียงค้อนประมูลครั้งสุดท้ายที่สถาบันโซเธอบี้ส์ (Sotheby’s) ดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบสงัดที่เปลี่ยนเป็นเสียงฮือฮาของผู้ชมทั่วโลก ผลงานชิ้นเอกของศิลปินระดับตำนานชาวออสเตรีย “กุสตาฟ คลิมท์” (Gustav Klimt) ถูกเคาะขายไปในราคาสูงเสียดฟ้ากว่า 7,660 ล้านบาท (ประมาณ 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมค่าธรรมเนียม) ตัวเลขนี้ไม่เพียงทำลายสถิติเดิมของศิลปิน แต่ยังส่งสัญญาณแรงชัดถึงการกลับมาอย่างก้าวกระโดดของตลาดงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซ (Blue-chip Art) ที่สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังชะลอตัว โดยมี “นักสะสมจากเอเชีย” เป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนดีลประวัติศาสตร์ครั้งนี้

1. นาทีระทึก สงครามราคา 10 นาทีที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์
บรรยากาศภายในห้องประมูลที่ถนนนิวบอนด์สตรีทเต็มไปด้วยความตึงเครียด การประมูลเริ่มต้นขึ้นด้วยราคาเปิดที่สูงลิ่ว แต่สงครามราคาที่แท้จริงเกิดขึ้นระหว่างผู้ประมูลทางโทรศัพท์สามราย—ตัวแทนจากนิวยอร์ก, ลอนดอน, และนักสะสมนิรนามจากฮ่องกง
การต่อสู้ของตัวเลข ตลอดระยะเวลา 10 นาทีอันยาวนาน ราคาบิดพุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตัวแทนฝั่งเอเชียเสนอราคาปิดท้ายที่ทำให้คู่แข่งต้องยอมจำนน การเคาะขายครั้งนี้ทำให้ภาพวาดดังกล่าวกลายเป็น งานศิลปะที่แพงที่สุดที่เคยประมูลในยุโรป และขึ้นแท่นหนึ่งในภาพวาดราคาแพงที่สุดของโลก แซงหน้าผลงานของศิลปินร่วมสมัยหลายคน
เฮเลนา นิวแมน ประธานบริษัท Sotheby’s ยุโรป กล่าวด้วยความตื่นเต้นหลังจบการประมูลว่า
“นี่ไม่ใช่แค่การขายภาพวาด แต่มันคือโมเมนต์ทางวัฒนธรรม ราคา 7,660 ล้านบาท พิสูจน์ให้เห็นว่าคุณภาพของงานระดับพิพิธภัณฑ์ (Museum-quality) คือสิ่งที่มีค่าเหนือกาลเวลา และความต้องการครอบครองชิ้นงานที่ดีที่สุดของคลิมท์นั้นไร้ขีดจำกัด”
2. ไขรหัส “คลิมท์” ทำไมราคาถึงพุ่งทะยาน?
กุสตาฟ คลิมท์ (1862–1918) คือหัวหอกของกลุ่ม Vienna Secession ผู้ปฏิวัติวงการศิลปะด้วยสไตล์อาร์ตนูโวที่หรูหราและเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ทางเพศ แต่ทำไมราคา ประมูลภาพเขียนกุสตาฟ คลิมท์ ถึงพุ่งสูงขนาดนี้?
ความหายาก (Scarcity) ผลงานส่วนใหญ่ของคลิมท์ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในพิพิธภัณฑ์ชั้นนำของโลก เช่น Belvedere ในเวียนนา การที่ภาพเขียนสีน้ำมัน (Portrait) ขนาดใหญ่ของเขาจะหลุดออกมาสู่ตลาดประมูลนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งกว่า “หนึ่งในร้อยปี”
เสน่ห์ของ “ยุคทอง” และ “ยุคสุดท้าย” ภาพที่ทุบสถิติมักเป็นผลงานในช่วงท้ายของชีวิตศิลปิน (เช่น Lady with a Fan) ซึ่งแสดงถึงจุดสูงสุดทางเทคนิคและการปลดปล่อยทางอารมณ์ ศิลปะของคลิมท์ผสมผสานระหว่างความเป็นสมัยใหม่ (Modernism) กับความวิจิตรบรรจงแบบญี่ปุ่นและไบแซนไทน์ ซึ่งเป็นรสชาติที่ถูกปากนักสะสมทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐีใหม่ในเอเชียที่ชื่นชอบความละเอียดอ่อนและสวยงามเชิงสัญลักษณ์
3. บทบาทของ “ทุนเอเชีย” ในตลาดศิลปะโลก
ประเด็นที่น่าจับตามองที่สุดจากการประมูลครั้งนี้ คือบทบาทของนักสะสมชาวเอเชีย ซึ่งคาดว่าเป็นผู้ชนะการประมูล (หรืออย่างน้อยมีส่วนสำคัญในการดันราคา)
การเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจ (Power Shift) ในอดีต ตลาดศิลปะอิมเพรสชั่นนิสต์และโมเดิร์นอาร์ตถูกขับเคลื่อนโดยเศรษฐีอเมริกันและยุโรป แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ฮ่องกง ไทเป และแผ่นดินใหญ่ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลัก รายงานจาก Art Basel และ UBS ระบุว่า แม้เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัว แต่กลุ่ม Ultra-High-Net-Worth Individuals (UHNWI) ในเอเชียยังคงมองหาสินทรัพย์ที่ “เก็บมูลค่าได้จริง” (Store of Value) และงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซก็ตอบโจทย์นี้ได้ดียิ่งกว่าตลาดหุ้นที่ผันผวน
ทัศนะจากผู้เชี่ยวชาญ ดร. แคลร์ แมคแอนดรูว์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านศิลปะ ให้ความเห็นว่า
“การประมูลครั้งนี้ยืนยันว่า เอเชียไม่ใช่แค่ ‘ตลาดเกิดใหม่’ อีกต่อไป แต่เป็น ‘แกนหลัก’ ของตลาดศิลปะโลกไปแล้ว ความกล้าที่จะทุ่มเงินกว่า 7 พันล้านบาทเพื่อภาพวาดชิ้นเดียว สะท้อนถึงความมั่นใจและรสนิยมที่ต้องการครอบครองประวัติศาสตร์ตะวันตก”
4. เปรียบเทียบสถิติโลก คลิมท์ยืนอยู่จุดไหน?
ด้วยราคา 7,660 ล้านบาท (ราว 220 ล้านดอลลาร์) การประมูลครั้งนี้พาผลงานของคลิมท์ก้าวเข้าสู่ทำเนียบ “คลับ 200 ล้านเหรียญ” เทียบชั้นกับตำนานอื่นๆ ได้อย่างสมศักดิ์ศรี
- Salvator Mundi (Leonardo da Vinci) 450 ล้านดอลลาร์
- Shot Sage Blue Marilyn (Andy Warhol) 195 ล้านดอลลาร์
- Les Femmes d’Alger (Picasso) 179 ล้านดอลลาร์
นัยสำคัญคือ คลิมท์ได้กลายเป็นศิลปินออสเตรียคนแรกและคนเดียวที่สามารถทำราคาได้สูงระดับนี้ แซงหน้าศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ชื่อดังหลายคน สะท้อนให้เห็นว่าเทรนด์ความนิยมกำลังหมุนวนกลับมาสู่ยุค Fin de Siècle (ปลายศตวรรษที่ 19) ที่เต็มไปด้วยความโรแมนติกและจิตวิญญาณ

5. อนาคตตลาดศิลปะ 2025 สินทรัพย์ทางเลือกหรือฟองสบู่?
การทุบสถิติโลกท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยขาลงในหลายประเทศ ทำให้เกิดคำถามว่า นี่คือสัญญาณฟื้นตัวที่แท้จริงหรือเป็นเพียงฟองสบู่ของคนรวย?
Safe Haven Asset นักวิเคราะห์การเงินมองว่า ยิ่งโลกมีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์สูง (สงคราม, ความขัดแย้งทางการค้า) เงินทุนจะยิ่งไหลเข้าสู่สินทรัพย์ที่จับต้องได้และเคลื่อนย้ายได้ (Tangible & Portable Assets) อย่างงานศิลปะ ภาพเขียนของคลิมท์ชิ้นนี้จึงเปรียบเสมือน “ทองคำบนผืนผ้าใบ”
แนวโน้มปี 2026 คาดการณ์ว่าเราจะได้เห็นผลงานระดับ “ถ้วยรางวัล” (Trophy Lots) ออกมาประมูลมากขึ้น เนื่องจากเจ้าของเดิมเห็นโอกาสในการทำกำไรมหาศาล ขณะที่พิพิธภัณฑ์ใหมในตะวันออกกลางและเอเชียยังคงมีความหิวโหยที่จะเติมเต็มคอลเลกชันของตน
บทสรุป คลิมท์…อมตะวาจาบนผืนผ้าใบ
ราคา 7,660 ล้านบาท อาจดูเป็นตัวเลขที่บ้าคลั่งสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับผู้ครอบครอง มันคือราคาของการได้ครอบครองเศษเสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณมนุษย์ที่ไม่มีวันทำซ้ำได้ การประมูล ภาพเขียนกุสตาฟ คลิมท์ ครั้งนี้ ได้ทำหน้าที่ลบเส้นแบ่งระหว่างศิลปะกับการลงทุน และพิสูจน์ให้เห็นว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก ความงามยังคงเป็นสกุลเงินที่มีค่าสูงสุดเสมอ
ไม่ว่าภาพนี้จะไปแขวนอยู่ที่คฤหาสน์ส่วนตัวในฮ่องกง หรือพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ในกาตาร์ สิ่งที่แน่นอนคือ “กุสตาฟ คลิมท์” ยังคงร่ายมนตร์สะกดโลกใบนี้ไว้ได้… แม้ผ่านไปกว่าศตวรรษแล้วก็ตาม
แหล่งที่มาจาก : am2con