สตอกโฮล์ม, สวีเดน — โศกนาฏกรรมไม่คาดฝันได้สั่นสะเทือนความสงบสุขของกรุงสตอกโฮล์ม เมืองหลวงที่ขึ้นชื่อด้านความปลอดภัยและระเบียบวินัย เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา รถบัสสองชั้นคันหนึ่งซึ่งอยู่นอกการให้บริการได้สูญเสียการควบคุมและพุ่งเข้าชนป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนยืนรออยู่เต็มพื้นที่บนถนนวัลฮัลลาวาเกน (Valhallavägen) อันพลุกพล่าน ผลลัพธ์คือความสูญเสียอันน่าสลดใจ: มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 3 ราย และบาดเจ็บอีก 3 ราย เหตุการณ์ รถบัสชนป้ายรถเมล์สตอกโฮล์ม ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในใจกลางเมืองหลวงของสวีเดน แต่ยังจุดชนวนคำถามสำคัญถึงสาเหตุที่แท้จริงและความปลอดภัยของระบบขนส่งมวลชน
ความคืบหน้าล่าสุดที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของสังคมได้ระดับหนึ่งคือ แถลงการณ์จากตำรวจสตอกโฮล์มซึ่งยืนยันเมื่อวันเสาร์ (15 พฤศจิกายน) ว่า พนักงานขับรถบัสซึ่งถูกควบคุมตัวในตอนแรก ได้รับการปล่อยตัวแล้วหลังจากการสอบสวนเบื้องต้น โดยเจ้าหน้าที่ไม่พบ “ข้อบ่งชี้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นการกระทำโดยเจตนา” (no indication that the incident was intentional) ซึ่งเป็นการปัดเป่าข้อสงสัยเรื่องการก่อการร้ายที่อาจเกิดขึ้นในยุโรป ขณะนี้ การสืบสวนจึงมุ่งเน้นไปที่การค้นหา สาเหตุอุบัติเหตุ ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวทางเทคนิค หรือความผิดพลาดจากปัจจัยมนุษย์ที่ไม่ใช่ความจงใจ

สถานการณ์ล่าสุด “ไม่เจตนา” ตำรวจสวีเดนปล่อยตัวคนขับ มุ่งสอบสวนอุบัติเหตุ
ท่ามกลางความสับสนและตื่นตระหนกหลังเกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมง ตำรวจสตอกโฮล์ม ได้ดำเนินการตามขั้นตอนมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด โดยได้จับกุมพนักงานขับรถบัสในที่เกิดเหตุ และเริ่มการสืบสวนเบื้องต้นในข้อหา “ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา” (Involuntary Manslaughter) ซึ่งเป็นกระบวนการปกติในเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว Associated Press (AP) และ Reuters รายงานตรงกันว่า ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง สถานการณ์ก็มีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อสำนักงานอัยการได้สั่งปล่อยตัวพนักงานขับรถคนดังกล่าว โฆษกตำรวจได้ย้ำต่อนักข่าวว่า แม้ข้อกล่าวหาเดิมจะถูกยกเลิก แต่การสืบสวนได้เปลี่ยนไปมุ่งเน้นที่ข้อหา “การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ” (Causing death and causing bodily harm)
การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในบริบทความมั่นคงของยุโรป มันได้เปลี่ยนทิศทางของข่าวจาก “ภัยคุกคามความมั่นคง” ไปสู่ “โศกนาฏกรรมจากอุบัติเหตุ” อย่างชัดเจน ซึ่งบัดนี้ ภาระหน้าที่ในการค้นหาคำตอบได้ตกอยู่กับทีมสืบสวนด้านเทคนิค ที่จะต้องชำแหละหลักฐานเพื่อค้นหาว่า เกิดอะไรขึ้นที่ป้ายรถเมล์สตอกโฮล์ม ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนการปะทะ
ลำดับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมบ่ายวันศุกร์ ณ วัลฮัลลาวาเกน
เหตุการณ์ สตอกโฮล์ม อุบัติเหตุ ครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 1523 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2025 บนถนนวัลฮัลลาวาเกน ในย่านเออสเตอมาล์ม (Östermalm) ซึ่งเป็นหนึ่งในถนนสายหลักและคับคั่งที่สุดของเมือง โดยเฉพาะจุดเกิดเหตุนั้นอยู่ใกล้กับสถาบันเทคโนโลยี KTH Royal Institute of Technology
พยานหลักฐานเบื้องต้นระบุว่า รถบัสสองชั้นคันดังกล่าว ซึ่งไม่มีผู้โดยสารเนื่องจาก “ไม่ได้อยู่ในระหว่างการให้บริการ” (Not in service) ได้เคลื่อนที่ออกจากเส้นทางปกติและพุ่งตรงเข้าใส่ป้ายรถเมล์อย่างรุนแรง ภาพข่าวจากสำนักข่าว TT News Agency ของสวีเดน เผยให้เห็นสภาพด้านหน้ารถบัสที่พังยับเยิน และโครงสร้างของป้ายรถเมล์ที่ถูกทำลายจนเกือบไม่เหลือชิ้นดี
ผลกระทบของการปะทะนั้นรุนแรงและฉับพลัน ผู้คนที่กำลังยืนรอรถ ณ ป้ายดังกล่าว กลายเป็นเหยื่อของโศกนาฏกรรม รถบัสสองชั้นชนคน ครั้งนี้ หน่วยกู้ภัยและรถพยาบาลหลายสิบคนถูกระดมไปยังที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตเหยื่อ 3 รายไว้ได้ ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 3 ราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยในเวลาต่อมามีรายงานว่า 2 รายในจำนวนนี้มีอาการสาหัส แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
“ทุกอย่างโกลาหล มันเหมือนฝันร้าย” – เสียงสะท้อนจากผู้เห็นเหตุการณ์
ความรุนแรงของอุบัติเหตุครั้งนี้สร้างความตื่นตระหนกอย่างมากแก่ผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง สำนักข่าว Channel News Asia (CNA) ได้สัมภาษณ์ ผู้เห็นเหตุการณ์ รายหนึ่งซึ่งเล่าถึงช่วงเวลาแห่งความโกลาหลว่า
“ฉันเพิ่งข้ามถนนมา และเห็นรถบัสสองชั้นไถป้ายรถเมล์ไปทั้งแถบ ฉันเห็นคนเจ็บและคนตายนอนอยู่บนพื้น ผู้คนกรีดร้อง ในขณะที่บางคนพยายามเข้าไปช่วย… ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นการซ้อมรับมือเหตุการณ์ หรืออาจจะเป็นหุ่นด้วยซ้ำ มันเหมือนฝันร้าย มันไม่จริงเลย ทุกอย่างโกลาหลไปหมด”
คำให้การนี้สะท้อนถึงความรู้สึกไม่คาดคิดของชาวเมือง ที่คุ้นเคยกับความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของกรุงสตอกโฮล์ม ทีมกู้ภัยต้องทำงานแข่งกับเวลาท่ามกลางเสียงไซเรนและสายตาของผู้คนที่ยังคงตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า

ผู้นำสวีเดนร่วมไว้อาลัย – “ความคิดคำนึงของผมอยู่กับเหยื่อ”
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ นายกรัฐมนตรีสวีเดน อุล์ฟ คริสเตอร์ซัน (Ulf Kristersson) ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) เพื่อแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ผมได้รับข่าวที่น่าเศร้าสลดว่ามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายที่ป้ายรถเมล์ในใจกลางกรุงสตอกโฮล์ม ผู้คนที่อาจจะกำลังเดินทางกลับบ้านไปหาครอบครัว เพื่อนฝูง หรือกลับไปพักผ่อน” นายกฯ คริสเตอร์ซัน กล่าว “เรายังไม่ทราบ สาเหตุอุบัติเหตุ นี้ แต่ในตอนนี้ ความคิดคำนึงของผมอยู่กับผู้ที่ได้รับผลกระทบและบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขาเป็นอันดับแรก”
ปฏิกิริยาจากผู้นำประเทศได้ตอกย้ำถึงความรุนแรงของเหตุการณ์ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคมสวีเดนในการเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งนี้
บทวิเคราะห์เชิงลึก โศกนาฏกรรมในเมืองที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
การที่อุบัติเหตุร้ายแรงเช่นนี้เกิดขึ้นในสวีเดน ถือเป็นประเด็นที่ต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง เนื่องจากสวีเดนมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในประเทศที่มีมาตรฐานความปลอดภัยทางถนนดีที่สุดในโลก การเสียชีวิต 3 ศพ เจ็บอีก 3 จากเหตุการณ์เดียวนั้น จึงเป็นเรื่องที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการทบทวนมาตรฐานครั้งใหญ่
สถิติที่ย้อนแย้ง สวีเดนและมาตรฐานความปลอดภัยทางถนนระดับโลก
ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ด้านความปลอดภัยทางถนน มักจัดให้สวีเดนอยู่ในอันดับต้นๆ (ร่วมกับนอร์เวย์) ในฐานะประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนต่อประชากรต่ำที่สุดในสหภาพยุโรป สวีเดนเป็นผู้ริเริ่มนโยบาย “Vision Zero” (วิสัยทัศน์ศูนย์) ที่มีเป้าหมายคือการไม่ให้มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางถนนเลย ซึ่งนโยบายนี้ได้กลายเป็นต้นแบบให้หลายประเทศทั่วโลกนำไปปรับใช้
นอกจากนี้ สถิติจากสถาบันวิจัยด้านการขนส่ง (Transport Economics Institute – TØI) ในยุโรป ยังชี้ชัดว่า การเดินทางด้วยรถบัสและรถโค้ช ถือเป็นรูปแบบการเดินทางทางถนนที่ “ปลอดภัยที่สุด” เมื่อเทียบกับรถยนต์ส่วนบุคคล
ดังนั้น การที่ รถบัสชนป้ายรถเมล์สตอกโฮล์ม และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตที่เป็น “คนเดินเท้า” หรือผู้รอรถที่ป้ายรถเมล์ จึงเป็นการตอกย้ำสถิติอีกด้านหนึ่งที่น่ากังวลว่า แม้ผู้โดยสารบนรถบัสจะปลอดภัย แต่ในอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถบัส ผู้ที่เปราะบางที่สุดคือผู้ใช้ถนนที่อยู่นอกตัวรถ โดยเฉพาะคนเดินเท้า ซึ่งมักถูก “จัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง” (Overrepresented) ในสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถบัสในเขตเมือง
ชำแหละความปลอดภัย “รถบัสสองชั้น”
รถบัสสองชั้น (Double-decker) เป็นที่นิยมในหลายเมืองใหญ่ของยุโรป โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร เนื่องจากข้อดีในด้านการเพิ่มความจุผู้โดยสาร โดยใช้พื้นที่ถนนเท่าเดิม (Vertical space optimization) ซึ่งช่วยลดความแออัดได้
ในแง่ของความปลอดภัย ตัวรถบัสเหล่านี้อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวดของสหภาพยุโรปและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติสำหรับยุโรป (UNECE) เช่น Regulation 107 ที่ควบคุมมาตรฐานการทรงตัว (Stability test) เพื่อป้องกันการพลิกคว่ำ และโครงสร้างความแข็งแรงของตัวรถ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายทางวิศวกรรมของรถบัสสองชั้นคือ “จุดศูนย์ถ่วง” (Center of gravity) ที่สูงกว่ารถบัสชั้นเดียว แม้ว่าการออกแบบสมัยใหม่จะพยายามกดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำที่สุดโดยวางเครื่องยนต์และส่วนประกอบหนักไว้ชั้นล่าง แต่การควบคุมรถขนาดใหญ่ที่มีมวลมหาศาลเช่นนี้ในสถานการณ์ฉุกเฉินย่อมเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ในทางกลับกัน มีรายงานวิจัย (เช่น จาก Transport for London – TfL) ที่ระบุว่า ในการชน ผู้โดยสารที่อยู่ชั้นบนอาจมีความเสี่ยงบาดเจ็บน้อยกว่าด้วยซ้ำ
สำหรับอุบัติเหตุครั้งนี้ ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ความปลอดภัยของผู้โดยสาร (เพราะรถว่าง) แต่อยู่ที่กลไกการควบคุมรถที่ล้มเหลว จนทำให้มวลขนาดใหญ่ของ รถบัสสองชั้นชนคน ที่อยู่ในจุดที่ควรจะปลอดภัย

ปัจจัยที่เป็นไปได้ การสืบสวนกำลังมุ่งไปที่ใด?
เมื่อตำรวจตัดประเด็นการก่อการร้ายหรือการจงใจกระทำออกไปแล้ว ทีมสืบสวนจะมุ่งเน้นไปที่ 3 ปัจจัยหลัก เพื่อตอบคำถาม สาเหตุรถบัสสองชั้นชนคนที่สวีเดน คืออะไรกันแน่
- ปัจจัยด้านมนุษย์ (Human Factor) นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในอุบัติเหตุทางถนน แม้คนขับจะได้รับการปล่อยตัว (ซึ่งหมายความว่าไม่พบแอลกอฮอล์หรือสารเสพติด และไม่มีเจตนา) แต่ “ความผิดพลาดโดยไม่เจตนา” ยังคงเป็นไปได้
- ภาวะทางการแพทย์ฉุกเฉิน (Sudden Medical Issue) เป็นข้อสันนิษฐานที่มีน้ำหนักมากที่สุดในขณะนี้ พนักงานขับรถอาจประสบภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน, ลมชัก, หรือหมดสติชั่วขณะ (Fainting) ทำให้สูญเสียการควบคุมรถโดยสิ้นเชิง
- ความเหนื่อยล้า (Driver Fatigue) แม้จะมีกฎหมายควบคุมชั่วโมงการทำงานที่เข้มงวด แต่ความเหนื่อยล้าสะสมยังคงเป็นปัญหาในอุตสาหกรรมขนส่ง
- การเสียสมาธิ (Distraction) เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือการละสายตาจากถนนเพียงชั่ววินาที (แม้จะเป็นไปได้น้อยในกรณีที่รถไม่ได้ให้บริการ)
- ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Factor) ความล้มเหลวของยานพาหนะเป็นอีกหนึ่งความเป็นไปได้หลักที่ต้องตรวจสอบ
- ระบบเบรกขัดข้อง (Brake Failure) การสูญเสียความสามารถในการหยุดรถกะทันหัน
- ระบบบังคับเลี้ยวขัดข้อง (Steering Failure) ไม่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้
- คันเร่งค้าง (Accelerator Malfunction) รถเร่งความเร็วเองโดยที่คนขับไม่สามารถหยุดได้
ประเด็นที่น่าสนใจคือ รถคันนี้ “ไม่ได้อยู่ในระหว่างการให้บริการ” คำถามคือ มันกำลังมุ่งหน้ากลับอู่เพื่อซ่อมบำรุงหรือไม่? หรือกำลังถูกเคลื่อนย้ายโดยมีปัญหาทางเทคนิคอยู่ก่อนแล้ว? ข้อมูลจากกล่องดำ (Black Box) หรือ On-board diagnostics (OBD) ของรถบัส จะเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนานี้
- ปัจจัยแวดล้อม (Environmental Factor) มีความเป็นไปได้น้อยที่สุดในกรณีนี้ สภาพอากาศในวันเกิดเหตุไม่ได้เลวร้าย และถนนวัลฮัลลาวาเกนเป็นถนนหลักที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี แต่ทีมสืบสวนก็ต้องตรวจสอบความเป็นไปได้ของสิ่งกีดขวางบนถนน หรือปัจจัยอื่นที่อาจทำให้คนขับต้องหักหลบกะทันหัน
ผลกระทบต่อ SL และความเชื่อมั่นของชาวสตอกโฮล์ม
เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ SL (Storstockholms Lokaltrafik) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ ขนส่งมวลชนสตอกโฮล์ม แม้ว่ารถบัสคันดังกล่าวจะดำเนินการโดยผู้รับเหมา (เช่น Transdev หรือ Keolis ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ในพื้นที่) แต่ในสายตาของประชาชน SL คือผู้รับผิดชอบสูงสุด
ข้อมูลจากรายงานความยั่งยืนของ SL ประจำปี 2022 ระบุว่า ผู้โดยสารประมาณ 74% รู้สึกปลอดภัยเมื่อใช้บริการขนส่งมวลชน แต่โศกนาฏกรรมครั้งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อความรู้สึก “ปลอดภัย” นั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องยืนรอรถที่ป้ายรถเมล์ ภาพของรถบัสที่พุ่งเข้าใส่ป้าย จะยังคงเป็นบาดแผลทางใจ (Psychological impact) ของชาวเมืองไปอีกนาน
อัปเดตผู้บาดเจ็บเหตุการณ์สตอกโฮล์ม ยังคงเป็นที่ติดตามของประชาชน การเยียวยาผู้รอดชีวิตและครอบครัวผู้เสียชีวิตจึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้
บทสรุป การรอคอยคำตอบ ท่ามกลางการเยียวยา
โศกนาฏกรรม รถบัสชนป้ายรถเมล์สตอกโฮล์ม ได้ทิ้งบทเรียนราคาแพงไว้ให้กับเมืองที่ได้ชื่อว่าปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แม้การสืบสวนจะปัดเป่าความกลัวเรื่องการก่อการร้ายออกไปได้ แต่ความเจ็บปวดยังคงอยู่
ขณะนี้ สังคมสวีเดนกำลังเฝ้ารอคำตอบที่ชัดเจนจากทีมสืบสวนว่า อะไรคือช่องโหว่ที่นำไปสู่การสูญเสียครั้งนี้? มันคือความผิดพลาดของมนุษย์ที่ป้องกันได้, ความล้มเหลวทางเทคนิคที่คาดไม่ถึง, หรือช่องโหว่ในกระบวนการบำรุงรักษา?
คำตอบที่ได้ ไม่เพียงแต่จะนำมาซึ่งความยุติธรรมแก่เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย เสียชีวิต 3 เจ็บ 3 แต่ยังจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทบทวนและยกระดับมาตรฐาน ความปลอดภัยขนส่งมวลชนสวีเดน เพื่อให้แน่ใจว่า ป้ายรถเมล์จะยังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน และโศกนาฏกรรมเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยอีกบนถนนวัลฮัลลาวาเกน หรือที่ใดก็ตามในสวีเดน
แหล่งที่มาจาก : am2con