โรงไฟฟ้าเกาหลีใต้ถล่ม ตอกย้ำวิกฤตความปลอดภัยแรงงาน และ “คำสาป” อุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่าน

โรงไฟฟ้าเกาหลีใต้ถล่ม

โซล, 7 พฤศจิกายน 2025 – ปฏิบัติการกู้ภัยยังคงดำเนินไปอย่างตึงเครียด ณ โรงไฟฟ้าแทอัน (Taean Power Plant) ในจังหวัดชุงช็องใต้ ประเทศเกาหลีใต้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ โรงไฟฟ้าเกาหลีใต้ถล่ม อย่างไม่คาดฝันเมื่อช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี ขณะที่คนงานกำลังเตรียมการสำหรับกระบวนการ โรงไฟฟ้ารื้อถอน ส่งผลให้มีรายงานเบื้องต้นว่ามี คนติดใต้ซาก อย่างน้อย 7 คน โศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมที่น่าสลดใจ แต่ยังเป็นการจุดชนวนความโกรธแค้นและคำถามสำคัญในสังคมเกาหลีใต้ ว่าเหตุใดกฎหมายความปลอดภัยที่เข้มงวดที่สุดฉบับหนึ่งของประเทศอย่าง “กฎหมายลงโทษอุบัติภัยร้ายแรง” (Serious Accidents Punishment Act – SAPA) จึงยังไม่สามารถหยุดยั้ง “โรคระบาด” ด้านการเสียชีวิตในที่ทำงานได้ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่อันตรายและมักถูกมองข้ามอย่างการรื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานเก่า

ขณะที่เสียงไซเรนและเครื่องจักรกลหนักดังระงมไปทั่วบริเวณ โรงไฟฟ้าแทอัน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินยุคเก่าที่กำลังจะปลดระวางตามนโยบายพลังงานสีเขียวของรัฐบาล บทวิเคราะห์นี้จะเจาะลึกว่าเหตุใดโศกนาฏกรรมครั้งนี้จึงเป็นภาพสะท้อนที่เจ็บปวดของ “อุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่าน” (Transitional Industries) ที่ซึ่งแรงงานมักต้องเผชิญความเสี่ยงสูงสุด ท่ามกลางแรงกดดันด้านต้นทุนและกรอบเวลา

At least seven people trapped after South Korea power plant's structure  collapsed | The Star

ลำดับเหตุการณ์หายนะ เกิดอะไรขึ้นที่ “โรงไฟฟ้าแทอัน”

เมื่อเวลาประมาณ 1445 น. ของวันที่ 6 พฤศจิกายน 2025 (ตามเวลาท้องถิ่น) สำนักงานดับเพลิงแห่งชาติ (NFA) ได้รับแจ้งเหตุฉุกเฉินว่าอาคารประกอบ (Auxiliary Building) ของ โรงไฟฟ้าแทอัน ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ได้ใช้งานและอยู่ระหว่างการเตรียมการรื้อถอน ได้พังถล่มลงมาอย่างกะทันหัน

ตามรายงานของสำนักข่าว Yonhap และ หน่วยกู้ภัยเกาหลีใต้ (Korea Search and Rescue) ในที่เกิดเหตุ คนงานกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทรับเหมาชั้นนอก (Subcontractor) กำลังปฏิบัติงานอยู่ภายในอาคารดังกล่าว

  • ปฏิบัติการกู้ภัย เจ้าหน้าที่กู้ภัยกว่า 250 นาย พร้อมด้วยสุนัขดมกลิ่นและอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณชีพ ได้เร่งค้นหาผู้สูญหายท่ามกลางซากคอนกรีตและเหล็กเส้นที่ทับถมกัน
  • สถานะผู้ประสบภัย ข้อมูลล่าสุด (ณ เช้าวันที่ 7 พ.ย.) ยืนยันว่ามีคนงาน 2 คนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส และอีก 7 คนยังคงสูญหายและคาดว่าติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง
  • คำให้การผู้เห็นเหตุการณ์ คนงานที่รอดชีวิตกล่าวกับสื่อท้องถิ่นว่า “ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราได้ยินเสียงดังลั่นเหมือนฟ้าร้อง ก่อนที่พื้นและเพดานจะถล่มลงมาทับ”

นี่คือโศกนาฏกรรมล่าสุดในอุตสาหกรรมพลังงานของ เกาหลีใต้ และเกิดขึ้นที่ “แทอัน” ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดเกี่ยวกับการเสียชีวิตของแรงงานมาก่อนหน้านี้แล้ว

บาดแผลเก่าที่แทอัน เมื่อความตายไม่ใช่ครั้งแรก

ชื่อของ “โรงไฟฟ้าแทอัน” ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวด้านความปลอดภัยในที่ทำงานของเกาหลีใต้มาตั้งแต่ปี 2018

ในครั้งนั้น คิม ยงคยุน (Kim Yong-kyun) แรงงานสัญญาจ้างนอกเวลา วัย 24 ปี เสียชีวิตอย่างน่าสลดจากการถูกสายพานลำเลียงถ่านหินหนีบขณะทำงานกะดึกเพียงลำพัง การเสียชีวิตของเขาจุดประกายความโกรธแค้นทั่วประเทศ นำไปสู่การประท้วงใหญ่ และเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้รัฐบาลต้องผ่าน “กฎหมายคิม ยงคยุน” (Kim Yong-kyun Act) เพื่อบังคับให้บริษัทต่างๆ ต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของแรงงานรับเหมา

การที่อุบัติเหตุร้ายแรงครั้งใหม่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าแห่งเดิม ตอกย้ำคำถามที่ว่า สาเหตุโรงไฟฟ้าเกาหลีใต้ถล่ม ในครั้งนี้ เป็นเพียงอุบัติเหตุ หรือเป็นผลพวงของวัฒนธรรมการทำงานที่บกพร่องซึ่งไม่เคยถูกแก้ไขอย่างแท้จริง

“มันเหมือนกับเดจาวู” อี แทซอง ผู้อำนวยการศูนย์สิทธิแรงงาน (Center for Workers’ Rights) ในกรุงโซล กล่าว “โศกนาฏกรรมที่แทอันในปี 2018 ควรจะเป็นจุดเปลี่ยน แต่การถล่มครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เรายังคงส่งคนงานไปตายในที่ทำงานที่อันตราย โดยเฉพาะคนงานรับเหมา ที่อยู่นอกวงโคจรของการคุ้มครอง”

Collapse at retired South Korean power plant leaves at least 3 dead, 2  others presumed dead - Yahoo News Canada

“SAPA” กฎหมายไร้เขี้ยวเล็บ? ช่องโหว่ของกฎหมายลงโทษอุบัติภัยร้ายแรง

ข่าวล่าสุด โรงไฟฟ้าถล่ม ครั้งนี้ เกิดขึ้นภายใต้การบังคับใช้ “กฎหมายลงโทษอุบัติภัยร้ายแรง” (Serious Accidents Punishment Act – SAPA) ที่มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบเมื่อต้นปี 2024

SAPA ถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อยุติวัฒนธรรม “ปลาเร็ว” (Palli-palli) ที่เร่งรีบและละเลยความปลอดภัย กฎหมายนี้กำหนดโทษจำคุกและค่าปรับมหาศาลแก่ “ผู้บริหารระดับสูง” (CEOs) และเจ้าของกิจการ หากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงชีวิตในที่ทำงาน อันเนื่องมาจากการละเลยมาตรการความปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม สถิติจาก กระทรวงแรงงานเกาหลีใต้ (MOEL) กลับสวนทางกับความคาดหวัง

“เกาหลีใต้ยังคงมีอัตราการเสียชีวิตจากการทำงานสูงที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ) แม้ว่าจะมีกฎหมาย SAPA แล้วก็ตาม”

ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นช่องโหว่สำคัญที่ทำให้กฎหมายนี้ยังไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง

  1. ความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทาน ในโครงการขนาดใหญ่อย่างการรื้อถอนโรงไฟฟ้า มักมีการจ้างงานผ่านบริษัทรับเหมาหลายชั้น (Multi-layered subcontracting) ทำให้การระบุตัว “ผู้รับผิดชอบสูงสุด” ตามกฎหมาย SAPA เป็นไปได้ยาก
  2. การมุ่งเน้นที่ “การลงโทษ” มากกว่า “การป้องกัน” นักวิจารณ์กล่าวว่า SAPA เน้นไปที่สิ่งที่เกิดขึ้น “หลัง” จากอุบัติเหตุ มากกว่าการลงทุนเชิงรุกใน “ก่อน” เกิดเหตุ เช่น การฝึกอบรมและการปรับปรุงอุปกรณ์
  3. การต่อต้านจากกลุ่มทุน กลุ่มล็อบบี้ทางธุรกิจในเกาหลีใต้ได้โต้แย้งอย่างต่อเนื่องว่ากฎหมายนี้ “รุนแรงเกินไป” และเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ ทำให้เกิดความพยายามในการลดทอนความเข้มข้นของกฎหมายอยู่เสมอ

ดังนั้น คำถามเร่งด่วนที่ กระทรวงแรงองานเกาหลีใต้ ต้องเผชิญในขณะนี้คือ การรื้อถอนโรงไฟฟ้า ปลอดภัยหรือไม่ และใครคือผู้ที่จะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของคนงาน 7 คน (หรือมากกว่า) ที่ติดอยู่ใต้ซากในขณะนี้

ความเสี่ยงที่ถูกลืม “อุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่าน” กับแรงงานที่ถูกทอดทิ้ง

โศกนาฏกรรม โรงไฟฟ้าเกาหลีใต้ถล่ม ครั้งนี้ ยังส่องแสงไปยังมุมมืดของนโยบายพลังงานสีเขียวของประเทศ

เกาหลีใต้กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงานครั้งใหญ่ โดยมีเป้าหมายที่จะปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินเก่าหลายสิบแห่ง (เช่น โรงไฟฟ้าแทอัน) เพื่อมุ่งสู่พลังงานสะอาด กระบวนการ “การรื้อถอน” (Decommissioning) โรงไฟฟ้าเก่าเหล่านี้จึงกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

Seven people trapped in South Korea after power plant collapse - TRT World

แต่ “การรื้อถอน” เป็นหนึ่งในงานที่อันตรายที่สุดในภาคการก่อสร้าง

  • ความไม่แน่นอนของโครงสร้าง อาคารเก่าที่ผ่านการใช้งานมาหลายสิบปีมีความเสี่ยงต่อการถล่มสูง
  • สารอันตราย คนงานต้องเผชิญกับแร่ใยหิน (Asbestos) ตะกั่ว และสารเคมีอันตรายอื่นๆ ที่ตกค้าง
  • แรงกดดันด้านต้นทุน บริษัทรับเหมามักพยายามตัดลดต้นทุนด้านความปลอดภัยเพื่อชนะการประมูลงานรื้อถอนที่มีการแข่งขันสูง

คิม ฮยอนจู ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมความปลอดภัย มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ให้ทัศนะว่า “เรามุ่งเน้นไปที่การสร้างเทคโนโลยีใหม่ที่สะอาด แต่เราลืมไปว่าการ ‘ทำลาย’ เทคโนโลยีเก่าที่สกปรกนั้น อันตรายและต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง คนงานในภาคส่วนนี้มักเป็นแรงงานรับเหมาที่เปราะบางที่สุด พวกเขาคือผู้ที่ต้องแบกรับความเสี่ยงทางกายภาพของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน”

อุบัติเหตุที่แทอันจึงไม่ใช่แค่ความล้มเหลวของบริษัทเดียว แต่เป็นความล้มเหลวเชิงระบบที่เกาหลีใต้ต้องเลือกว่าจะให้ “การเติบโตทางเศรษฐกิจ” หรือ “ชีวิตของแรงงาน” มาก่อน

บทสรุป อนาคตของการกู้ภัย และอนาคตของความปลอดภัยแรงงาน

ขณะที่ปฏิบัติการค้นหา ผู้รอดชีวิต โรงไฟฟ้าเกาหลีใต้ ยังคงดำเนินต่อไป ความหวังในการพบผู้รอดชีวิตเริ่มริบหรี่ลงทุกขณะ เหตุการณ์นี้ได้จุดกระแสการตรวจสอบครั้งใหญ่ทั่วประเทศ รัฐบาลได้สั่งระงับการรื้อถอนโรงไฟฟ้าอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันทั้งหมด และกระทรวงแรงงานได้เริ่มการสอบสวนฉุกเฉินเพื่อหาสาเหตุของการถล่มและผู้ที่ต้องรับผิดชอบภายใต้กฎหมาย SAPA แล้ว

โศกนาฏกรรม โรงไฟฟ้าเกาหลีใต้ถล่ม ที่แทอันครั้งนี้ เป็นเครื่องเตือนใจอันเจ็บปวดว่า แม้เกาหลีใต้จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมป๊อปในเวทีโลก แต่ภายใต้พื้นผิวแห่งความทันสมัยนั้น ยังคงมีปัญหาเรื้อรังด้าน ความปลอดภัยในที่ทำงาน ที่รอการแก้ไขอย่างจริงจัง

คำถามสุดท้ายไม่ใช่แค่ว่า สาเหตุโรงไฟฟ้าเกาหลีใต้ถล่ม คืออะไร แต่คือสังคมเกาหลีใต้จะยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยที่แทอันอีกกี่ครั้ง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้น

แหล่งที่มาจาก : am2con