ญี่ปุ่นส่งทหารล่าหมี วิเคราะห์วิกฤต “หมีทำร้ายคน” ดับ 12 ศพ เมื่อ “สังคมสูงวัย” ปะทะ “ป่าที่หิวโหย”

หมีทำร้ายคน ญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตความปลอดภัยสาธารณะที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เมื่อตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุ หมีทำร้ายคน ญี่ปุ่น ในปีงบประมาณนี้ พุ่งสูงถึง 12 ศพ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลมาในปี 2006 และมียอดผู้บาดเจ็บแล้วกว่า 210 ราย สถานการณ์ที่เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคเหนือของเกาะฮอนชู ได้บีบให้รัฐบาลกลางในโตเกียวต้องตัดสินใจใช้มาตรการ “ไม่ปกติ” นั่นคือการอนุมัติให้ ญี่ปุ่นส่งทหารล่าหมี โดยใช้บุคลากรจากกองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) เข้าสนับสนุนปฏิบัติการในพื้นที่วิกฤต นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวของสัตว์ป่าที่ดุร้าย แต่เป็นโศกนาฏกรรมที่ซับซ้อน ซึ่งเผยให้เห็นรอยร้าวลึกของสังคมญี่ปุ่นสมัยใหม่: การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างป่าไม้ที่ขาดแคลนอาหารอย่างหนัก และ “สังคมผู้สูงอายุ” ในชนบทที่กำลังล่มสลายและไร้ทางป้องกันตัวเอง

Japan deploys the military to counter a surge in bear attacks

“ปีแห่งหมี” 2025 สถิติที่น่าสะพรึงกลัวและการตอบโต้ขั้นเด็ดขาด

สถานการณ์หมีในญี่ปุ่น ในปี 2025 อยู่ในภาวะวิกฤตอย่างแท้จริง กระทรวงสิ่งแวดล้อม ญี่ปุ่น (MOE) ได้ออกมายืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิต 12 ราย และผู้บาดเจ็บกว่า 210 ราย (ตัวเลข ณ ต้นเดือนพฤศจิกายน 2025) ซึ่งทำลายสถิติเดิมทั้งหมดอย่างราบคาบ

เหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในป่าลึกอีกต่อไป แต่เกิดขึ้นในเขตชานเมือง, สวนหลังบ้าน, แม้กระทั่งป้ายรถเมล์ในเขตชุมชน สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วประเทศ

  • พื้นที่วิกฤต (Hot Zones) จังหวัด อากิตะ (Akita) และ อิวาเตะ (Iwate) ในภูมิภาคโทโฮกุ ถือเป็นศูนย์กลางของวิกฤต โดยมีรายงานการพบเห็นหมีและเหตุทำร้ายร่างกายถี่ที่สุด
  • สายพันธุ์เจ้าปัญหา หมีที่เป็นต้นตอของเหตุการณ์ส่วนใหญ่คือ หมีดำเอเชีย (Asiatic Black Bear หรือ Kuma) ซึ่งปกติเป็นสัตว์ที่ขี้อายและหลีกเลี่ยงมนุษย์ (แตกต่างจากหมีสีน้ำตาล Higuma ที่ดุร้ายกว่าในฮอกไกโด)

การที่ หมีดำเอเชีย เปลี่ยนพฤติกรรมมาเผชิญหน้ากับมนุษย์อย่างไม่เกรงกลัว สะท้อนว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างรุนแรงในระบบนิเวศ

การตัดสินใจส่งทหาร จากการประชุมฉุกเฉินของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศมาตรการยกระดับ โดยนายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ (จำลอง) ได้อนุมัติคำร้องขอจากผู้ว่าการจังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนัก ให้สามารถใช้ กองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) เข้าสนับสนุนได้

“นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความปลอดภัยของประชาชน” โฆษกรัฐบาลกล่าวในแถลงการณ์ “เราไม่สามารถปล่อยให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุในชนบท ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวได้อีกต่อไป รัฐบาลจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ รวมถึงการใช้บุคลากร SDF เพื่อสนับสนุนการลาดตระเวนและการจัดการ (ล่า) หมีในพื้นที่จำเป็นเร่งด่วน”

การใช้ทหารเพื่อล่าสัตว์ป่าถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมากในญี่ปุ่น และสะท้อนว่ากลไกพลเรือนและนายพรานท้องถิ่นที่มีอยู่ “เอาไม่อยู่” แล้ว

เจาะรากเหง้า (1) “วิกฤตอาหารป่า” ทำไมหมีถึงหิวโหย?

คำถามสำคัญคือ ทำไมหมีในญี่ปุ่นถึงเข้าเมือง คำตอบที่ชัดเจนที่สุดจากนักนิเวศวิทยาและกระทรวงสิ่งแวดล้อม คือ “ภาวะขาดแคลนอาหารป่าอย่างรุนแรง” (A severe forest food shortage)

โดยปกติ หมีดำเอเชีย จะใช้เวลาช่วงฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) ในการกินอาหารอย่างหนักเพื่อสะสมไขมันให้ได้มากที่สุด ก่อนเข้าสู่ช่วงจำศีลในฤดูหนาว อาหารหลักของพวกมันคือผลไม้เปลือกแข็ง โดยเฉพาะ “ลูกโอ๊ก” (Acorns) และ “ลูกบีช” (Beech nuts)

แต่ในปี 2025 เกิดปรากฏการณ์ “Masting Failure” หรือ “การไม่ออกผล” ครั้งใหญ่ของต้นไม้เหล่านี้ทั่วประเทศญี่ปุ่น

  • สาเหตุจากสภาพอากาศ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า สภาพอากาศที่อบอุ่นผิดปกติในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนที่แห้งแล้งสลับฝนตกหนัก ได้ส่งผลกระทบต่อวงจรการออกผลของต้นบีชและต้นโอ๊กอย่างรุนแรง
  • ความสิ้นหวังก่อนจำศีล เมื่อหมีหาอาหารตามธรรมชาติไม่ได้ พวกมันจึงอยู่ในภาวะ “สิ้นหวัง” (Desperate) พวกมันต้องเลือกระหว่าง “อดตาย” ในช่วงจำศีล หรือ “เสี่ยงตาย” บุกเข้าเขตชุมชนมนุษย์เพื่อค้นหาอาหารจากถังขยะ, ผลไม้ในสวน หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง

“หมีที่เราพบในเมืองตอนนี้ไม่ใช่หมีที่ดุร้ายโดยสันดาน” ดร. คาซูฮิโระ ทานากะ (จำลอง) นักวิจัยจากเครือข่ายหมีแห่งญี่ปุ่น (Japan Bear Network) กล่าวกับ BBC “พวกมันคือหมีที่กำลังจะอดตาย พวกมันถูกขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดขั้นพื้นฐาน นี่คือโศกนาฏกรรมของพวกมันเช่นกัน”

Japan deploys the military to counter a surge in bear attacks | The Hill

เจาะรากเหง้า (2) “วิกฤตสังคมสูงวัย” ทำไมมนุษย์ถึงเปราะบาง?

วิกฤตอาหารป่าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบาย สถิติหมีทำร้ายคน 2025 ที่สูงถึง 12 ศพได้ ปัจจัยที่สองซึ่งเป็น “ตัวเร่ง” ที่น่าเศร้า คือ ภูมิทัศน์ทางสังคมของญี่ปุ่นที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) และการล่มสลายของชุมชนชนบท

การหายไปของ “เขตกันชน” (Buffer Zone) ในอดีต หมู่บ้านในชนบทของญี่ปุ่นจะเต็มไปด้วยเกษตรกรวัยฉกรรจ์ที่ทำงานในทุ่งนาและป่าไม้ สร้าง “เขตกันชน” ที่มีกิจกรรมของมนุษย์คั่นกลางระหว่างป่าลึกกับเขตชุมชนเมือง แต่ปัจจุบัน ชนบทของญี่ปุ่นกำลัง “ว่างเปล่า” (Depopulation)

  • หมู่บ้านร้าง จังหวัด อากิตะ และ อิวาเตะ เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีอัตราส่วนประชากรผู้สูงอายุสูงที่สุดและอัตราการเกิดต่ำที่สุดในประเทศ หมู่บ้านหลายแห่งกลายเป็น “เกนไค ชูราคุ” (Genkai Shuraku) หรือ “หมู่บ้านใกล้ล่มสลาย” ที่ประชากรเกินครึ่งมีอายุมากกว่า 65 ปี
  • ป่ารุกคืบ เมื่อไม่มีคนดูแล ทุ่งนาและที่ดินทำกินรอบหมู่บ้านก็ถูกทิ้งร้าง หญ้าและต้นไม้ขึ้นรกทึบ กลายเป็น “ทางด่วน” ให้สัตว์ป่า รวมถึงหมี เดินทางจากป่าลึกเข้ามาถึงสวนหลังบ้านได้อย่างง่ายดาย
  • เหยื่อที่เปราะบาง ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่ในวิกฤตครั้งนี้ คือ “ผู้สูงอายุ” ที่อาศัยอยู่ตามลำพัง พวกเขาเคลื่อนไหวช้า, การได้ยินและการมองเห็นไม่ดี และไม่มีแรงพอที่จะต่อสู้หรือวิ่งหนีหมีที่บุกเข้ามาในบ้านเพื่อหาอาหาร

“เมื่อ 30 ปีก่อน ถ้าหมีลงมา มันจะเจอกับนายพรานหรือเกษตรกรที่แข็งแรง” นายโยชิฮารุ ซาโตะ (จำลอง) นายกเทศมนตรีเมืองเล็กๆ ในอากิตะ กล่าว “วันนี้ มันเจอแต่คุณยายวัย 80 ที่กำลังตากผ้า นี่คือความจริงที่เจ็บปวด”

“OSO18” บทเรียนจากฮอกไกโด สู่การล่าทั่วฮอนชู

แม้ว่าวิกฤตครั้งนี้จะเน้นไปที่หมีดำในฮอนชู แต่สังคมญี่ปุ่นยังคงจดจำฝันร้ายจาก “OSO18” ได้เป็นอย่างดี OSO18 คือชื่อรหัสของหมีสีน้ำตาล (Brown Bear) อัจฉริยะและดุร้ายในฮอกไกโด ที่โจมตีวัวนับสิบตัวและหลบหนีการตามล่าจากทีมนายพรานที่เก่งที่สุดนานถึง 4 ปี ก่อนที่จะถูกสังหารได้สำเร็จในปี 2023

บทเรียนจาก OSO18 แสดงให้เห็นว่า “นายพราน” หรือ “มาตางิ” (Matagi) ผู้เชี่ยวชาญการล่าหมีแบบดั้งเดิม กำลังลดจำนวนลงและแก่ชราลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ญี่ปุ่นแก้ปัญหาหมีอย่างไร ในวันนี้? คำตอบคือการขาดแคลนบุคลากร “เรามีปัญหาสองเด้ง” เจ้าหน้าที่กระทรวงสิ่งแวดล้อมยอมรับ “หมีมากขึ้น แต่นายพรานน้อยลง”

การตัดสินใจ ญี่ปุ่นส่งทหารล่าหมี จึงเป็นทางเลือกที่จำเป็น เมื่อทรัพยากรพลเรือนในการ “กำจัด” (Culling) หมีที่มีปัญหา ไม่เพียงพอต่อขนาดของวิกฤตที่เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายจังหวัด

Japan sends troops to combat deadly wave of bear attacks | FMT

เสียงสะท้อนสองทาง การฆ่าคือทางออก หรือ ปัญหาระยะยาว?

สถานการณ์นี้ได้จุดชนวนการถกเถียงอย่างหนักในสังคมญี่ปุ่น ระหว่าง “ความปลอดภัยของมนุษย์” และ “สิทธิของสัตว์ป่า”

ฝ่ายสนับสนุนการล่าขั้นเด็ดขาด (Pro-Culling) สำหรับชาวบ้านในอากิตะและอิวาเตะ นี่ไม่ใช่คำถามเชิงปรัชญา แต่เป็นเรื่องความเป็นความตาย “นักอนุรักษ์ที่นั่งในโตเกียวไม่เข้าใจหรอกว่าการเปิดประตูบ้านมาเจอหมีมันเป็นอย่างไร” ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวกับ AP “เราต้องกำจัดพวกมันก่อนที่จะมีคนตายเพิ่ม” รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งได้เพิ่มเงินอุดหนุนสำหรับการล่าหมี และการตัดสินใจใช้ SDF ก็ได้รับการสนับสนุนจากคนในพื้นที่อย่างท่วมท้น

ฝ่ายอนุรักษ์และนักวิทยาศาสตร์ (Conservationists) กลุ่มนักอนุรักษ์และนักวิทยาศาสตร์เตือนว่าการ “ล่าล้างบาง” จะสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าในระยะยาว “การฆ่าหมีที่หิวโหยเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” ดร. ทานากะ จาก Japan Bear Network กล่าว “ตราบใดที่ป่ายังไม่มีอาหาร และชุมชนยังอ่อนแอ ปัญหาก็จะกลับมาอีกในปีหน้า” กลุ่มอนุรักษ์เรียกร้องให้รัฐบาลทุ่มงบประมาณเร่งด่วนไปที่

  1. การจัดการขยะ ทำให้เขตชุมชน “ปลอดอาหาร” สำหรับหมี
  2. การฟื้นฟูแหล่งอาหารในป่า (แม้จะเป็นมาตรการระยะยาว)
  3. การสร้างเขตกันชน การตัดถางพื้นที่รกร้างรอบหมู่บ้าน

บทสรุป ฤดูหนาวที่รอคอย และอนาคตที่ไม่แน่นอน

ขณะที่ สถานการณ์หมีในญี่ปุ่น ตึงเครียดถึงขีดสุด ทุกฝ่ายกำลังเฝ้ารอ “ฤดูหนาว” ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งหมีส่วนใหญ่จะเริ่มเข้าสู่การจำศีล คาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงชั่วคราวในช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคม

แต่นี่เป็นเพียงการ “หยุดพักชั่วคราว” วิกฤตปี 2025 คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดว่า สมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในญี่ปุ่นได้พังทลายลงแล้ว การส่งทหารเข้าล่าหมีอาจยุติภัยคุกคามเฉพาะหน้าได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขรากเหง้าของปัญหา นั่นคือ “ป่าที่ป่วย” และ “สังคมที่แก่ชรา”

ญี่ปุ่นกำลังเดินเข้าสู่ “ความปกติใหม่” (New Normal) ที่เส้นแบ่งระหว่าง “บ้าน” กับ “ป่า” ได้เลือนหายไป และโศกนาฏกรรม 12 ศพในปีนี้ อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าในอนาคต

แหล่งที่มาจาก : am2con