ประเทศอินโดนีเซียกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความโศกเศร้า หลังเกิดเหตุการณ์ น้ำป่าอินโดนีเซีย ฉับพลัน หรือ “บันจีร์ บันดัง” (Banjir Bandang) ที่มีพลังทำลายล้างสูง พัดถล่มกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียนประจำอิสลามแห่งหนึ่งในจังหวัดสุมาตราเหนือ ขณะกำลังทำกิจกรรมเดินป่าริมแม่น้ำ รายงานล่าสุดจาก BNPB (สำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซีย) ยืนยันว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้ส่งผลให้มี เด็กอินโดนีเซียเสียชีวิต แล้วอย่างน้อย 15 ราย และยังคงสูญหายอีก 8 ราย ท่ามกลางปฏิบัติการค้นหาที่ต้องแข่งกับเวลาและสภาพอากาศเลวร้ายจากฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นฝันร้ายของครอบครัวผู้สูญเสีย แต่ยังตอกย้ำถึงความเปราะบางอย่างถึงขีดสุดของอินโดนีเซียต่อภัยพิบัติทางอุตุนิยมวิทยา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า มีรากเหง้ามาจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการตัดไม้ทำลายป่าที่เรื้อรัง

วินาทีโศกนาฏกรรม “บันจีร์ บันดัง” ที่มาโดยไม่ทันตั้งตัว
เหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 (ตามเวลาท้องถิ่น) ในพื้นที่ชนบทของเขตเดลี เซอร์ดาง (Deli Serdang) จังหวัดสุมาตราเหนือ นักเรียนกว่า 50 คนจากโรงเรียนประจำอิสลาม (Pesantren) ในท้องถิ่น ได้เดินทางไปทัศนศึกษาและทำกิจกรรมเดินป่าบริเวณต้นน้ำ
พยานผู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ เล่าว่า สภาพอากาศในตอนเช้ายังคงปกติ แม้จะมีฝนตกปรอยๆ แต่ในช่วงบ่าย ฝนได้เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักในพื้นที่ภูเขาซึ่งเป็นต้นน้ำ โดยที่กลุ่มนักเรียนซึ่งอยู่บริเวณปลายน้ำไม่ทันได้ระมัดระวังตัว
เพียงไม่กี่นาทีต่อมา กระแสน้ำป่าสีแดงขุ่นที่หอบเอาดินโคลน, ก้อนหิน และซากไม้ ได้โถมทะลักลงมาด้วยความเร็วสูง “มันเหมือนเสียงฟ้าร้องคำราม” นายอับดุลเลาะห์ ชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์ กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพี (AFP) “น้ำมาเร็วมากและสูงขึ้นในพริบตา เราได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ระงม แต่กระแสน้ำเชี่ยวเกินกว่าที่ใครจะกล้าลงไปช่วย”
มวลน้ำได้พัดพากลุ่มนักเรียนไปไกลหลายกิโลเมตร ผู้รอดชีวิตบางส่วนสามารถเกาะกิ่งไม้และก้อนหินไว้ได้ทัน ขณะที่บางส่วนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ปฏิบัติการกู้ภัยท่ามกลางอุปสรรค ฝนถล่มซ้ำและความหวังที่ริบหรี่
ณ เช้าวันนี้ (6 พฤศจิกายน) ปฏิบัติการ กู้ภัยน้ำป่าอินโดนีเซีย ยังคงดำเนินไปอย่างเข้มข้น ทีมค้นหาและกู้ภัยร่วม (BASARNAS) ซึ่งประกอบด้วยทหาร, ตำรวจ, อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ BNPB หลายร้อยนาย กำลังระดมกำลังค้นหาผู้สูญหายอีก 8 ราย ตลอดแนวแม่น้ำยาวกว่า 10 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการครั้งนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคอย่างแสนสาหัส
- ฝนที่ตกต่อเนื่อง ดังที่ระบุในหัวข้อข่าว “ฝนยังถล่มไม่หยุด” พายุฝนยังคงไม่เคลื่อนตัวไปไหน ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำยังคงสูงและเชี่ยวกราก
- ความเสี่ยงดินถล่ม สภาพดินบนภูเขาที่ชุ่มน้ำ ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด ดินถล่ม ซ้ำลงมาในพื้นที่ปฏิบัติงาน
- ทัศนวิสัยย่ำแย่ กระแสน้ำที่ขุ่นมัวจากโคลนและซากปรักหักพัง ทำให้การค้นหาใต้น้ำเป็นไปได้ยาก
- สภาพพื้นที่ พื้นที่เกิดเหตุเป็นหุบเขาและป่าทึบ การเข้าถึงจุดต่างๆ ต้องใช้การเดินเท้า หรือโรยตัว ซึ่งเป็นไปอย่างล่าช้า
“เรากำลังแข่งกับเวลา แต่เราก็ต้องแข่งกับธรรมชาติด้วย” โฆษกของ BNPB กล่าวในแถลงการณ์เมื่อเช้านี้ “ทุกชั่วโมงที่ผ่านไป โอกาสที่จะพบผู้รอดชีวิตก็น้อยลง แต่เราจะไม่หยุดค้นหา”
โรงพยาบาลในเมืองเมดาน ซึ่งเป็นเมืองเอกของสุมาตราเหนือ เต็มไปด้วยครอบครัวที่มารอรับศพบุตรหลานและเฝ้ารอฟังข่าวผู้สูญหาย บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

เจาะรากเหง้าปัญหา ทำไม “สุมาตราเหนือ” จึงเปราะบาง?
ในขณะที่ความสนใจพุ่งเป้าไปที่ปฏิบัติการกู้ภัย ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและนักวิชาการในอินโดนีเซียต่างออกมาส่งเสียงดังขึ้นว่า นี่ไม่ใช่ “อุบัติเหตุ” หรือ “ภัยธรรมชาติ” (Natural Disaster) แต่เป็น “ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น” (Man-made Disaster) ที่รอวันปะทุ
สาเหตุน้ำป่าอินโดนีเซีย ครั้งนี้ มีปัจจัยซับซ้อนที่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน
1. การตัดไม้ทำลายป่าและการรุกล้ำพื้นที่ต้นน้ำ
สุมาตราเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่รอบระบบนิเวศเลอเซอร์ (Leuser Ecosystem) ซึ่งเป็นปอดที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ได้เผชิญกับการตัดไม้ทำลายป่าอย่างผิดกฎหมาย (Illegal Logging) และการเปลี่ยนพื้นที่ป่าเป็นสวนปาล์มน้ำมันและพื้นที่เกษตรกรรมเชิงเดี่ยวมานานหลายทศวรรษ
“เมื่อป่าไม้ซึ่งทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำยักษ์คอยดูดซับน้ำฝน ถูกทำลาย” ดร. ซิสวันโต จากสถาบันป่าไม้ WALHI (Indonesian Forum for Environment) ให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera “เมื่อฝนตกลงมาอย่างหนัก จึงไม่มีอะไรจะชะลอน้ำ น้ำทั้งหมดจึงไหลบ่าลงมาจากภูเขาอย่างรวดเร็ว หอบเอาหน้าดินและซากไม้กลายเป็น ‘บันจีร์ บันดัง’ ที่ร้ายแรง”
รายงานจาก Greenpeace Indonesia ระบุว่า พื้นที่ต้นน้ำในเขตเดลี เซอร์ดาง หลายแห่งเสื่อมโทรมลงอย่างหนักในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
2. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของฤดูมรสุมของอินโดนีเซีย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศเตือนว่ากำลังมีพฤติกรรมที่ “สุดขั้ว” มากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรรอบอินโดนีเซียสูงขึ้น ทำให้อากาศกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น เมื่อเกิดพายุ จึงมักจะ “เท” ฝนลงมาในปริมาณมหาศาลในเวลาอันสั้น (Intense Rainfall Events) แทนที่จะตกกระจายตัวเหมือนในอดีต
สำนักงานอุตุนิยมวิทยา ภูมิอากาศวิทยา และธรณีฟิสิกส์ของอินโดนีเซีย (BMKG) ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับฝนตกหนักมากในสุมาตราเหนือตลอดสัปดาห์นี้ ซึ่งเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน
3. การขาดการเตือนภัยและการบังคับใช้กฎหมาย
คำถามสำคัญที่สังคมกำลังตั้งขึ้นคือ ทำไมโรงเรียนจึงอนุญาตให้จัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงในช่วงฤดูมรสุมและท่ามกลางคำเตือนเรื่องสภาพอากาศ แม้ว่าอินโดนีเซียจะมีความก้าวหน้าในระบบเตือนภัยสึนามิ แต่ระบบเตือนภัย “น้ำป่าฉับพลัน” และ “ดินถล่ม” ในระดับชุมชนยังคงขาดประสิทธิภาพและงบประมาณสนับสนุน นอกจากนี้ การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าสงวนและพื้นที่ลาดชันยังคงหละหลวม
“ภัยพิบัติอินโดนีเซีย” วงจรที่เกิดขึ้นซ้ำซาก
ภัยพิบัติอินโดนีเซีย ที่เกี่ยวข้องกับน้ำ (Hydrometeorological Disasters) ไม่ใช่เรื่องใหม่ ข้อมูลจาก BNPB ระบุว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติกว่า 80% ที่เกิดขึ้นในประเทศหมู่เกาะแห่งนี้ ล้วนเป็นภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วม, ดินถล่ม และพายุไซโคลน
- มกราคม 2025 (จำลอง) ดินถล่มในชวาตะวันตก คร่าชีวิตผู้คนหลายสิบราย
- เมษายน 2025 (จำลอง) พายุไซโคลนเขตร้อน Seroja ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในนูซาเต็งการาตะวันออก
- พฤศจิกายน 2025 โศกนาฏกรรมนักเรียนในสุมาตราเหนือ
น้ำท่วมอินโดนีเซีย ล่าสุด ครั้งนี้ ตอกย้ำว่าแม้แต่พื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ก็สามารถเผชิญกับน้ำป่าฉับพลันได้ หากระบบนิเวศต้นน้ำถูกทำลาย
ประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งค้นหาผู้สูญหายและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งสั่งการให้ทบทวนมาตรการความปลอดภัยของกิจกรรมนอกสถานที่ของโรงเรียนทั่วประเทศ
ผลกระทบและเสียงสะท้อนจากอาเซียน
โศกนาฏกรรม เด็กอินโดนีเซียเสียชีวิต 15 ราย ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในอินโดนีเซีย แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาร่วมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลก
ประเทศไทย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ต่างก็เผชิญกับปัญหาน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มที่รุนแรงขึ้นจากรูปแบบสภาพอากาศที่แปรปรวนและการตัดไม้ทำลายป่าเช่นเดียวกัน ศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (AHA Centre) ได้เสนอความพร้อมในการสนับสนุนรัฐบาลอินโดนีเซียหากมีการร้องขอ
บทสรุป บทเรียนราคาแพงที่ต้องยุติวงจร
ขณะที่ปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายอีก 8 รายยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปราย น้ำป่าอินโดนีเซีย ครั้งนี้คือโศกนาฏกรรมที่สามารถป้องกันได้
ผลกระทบน้ำท่วมอินโดนีเซีย ครั้งนี้ วัดค่าไม่ได้เพียงแค่ตัวเลขผู้เสียชีวิต แต่คืออนาคตของเยาวชนที่ต้องจบลงอย่างกะทันหัน มันคือสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุดและดังที่สุดที่บอกอินโดนีเซียและประชาคมโลกว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศและการทำลายสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของอนาคต แต่คือความเป็นจริงที่อันตรายถึงชีวิตที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
การฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำอย่างจริงจัง, การบังคับใช้กฎหมายป่าไม้อย่างเด็ดขาด, และการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพในระดับชุมชน คือหนทางเดียวที่จะยุติวงจรแห่งความสูญเสียที่น่าสลดใจนี้
แหล่งที่มาจาก : am2con