เกาหลีเหนือ ยิงขีปนาวุธ “ของขวัญต้อนรับ” ถึง “ทรัมป์” สัญญาณยั่วยุจาก “คิม” เขย่าเจ้าภาพเกาหลีใต้ ก่อนเวทีประชุมเอเปก

เกาหลีเหนือ ยิงขีปนาวุธ

(วันที่ 31 ตุลาคม 2025, โซล/วอชิงตัน/เปียงยาง) – คาบสมุทรเกาหลีกลับมาร้อนระอุอีกครั้งในเช้าวันนี้ (31 ต.ค.) หลังจาก เกาหลีเหนือ ยิงขีปนาวุธ นำวิถีพิสัยใกล้ไม่ทราบชนิด ตกลงสู่ทะเลตะวันออก (หรือที่รู้จักในชื่อทะเลญี่ปุ่น) การยั่วยุทางทหารครั้งล่าสุดนี้ ไม่ใช่การทดสอบอาวุธตามวงรอบปกติ แต่คือ “ข้อความ” ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ถูกคำนวณเวลามาอย่างแม่นยำ เพื่อส่งตรงถึงสองเป้าหมายหลัก ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดี ยุน ซอก ยอล แห่งเกาหลีใต้

ปฏิบัติการ “ยิงต้อนรับ” (Welcome provocation) นี้ เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ มีกำหนดจะเดินทางเยือนกรุงโซล ประเทศ เกาหลีใต้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ประชุมเอเปก (APEC) 2025

คณะเสนาธิการร่วมเกาหลีใต้ (JCS) ยืนยันว่า ตรวจพบการยิงขีปนาวุธอย่างน้อย 1 ลูก จากพื้นที่เมืองวอนซาน ทางชายฝั่งตะวันออกของเกาหลีเหนือ เมื่อเวลาประมาณ 0745 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยขีปนาวุธดังกล่าวได้ร่อนลงในทะเลนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ของญี่ปุ่น

ในขณะที่กรุงโซล, โตเกียว และวอชิงตัน ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวอย่างแข็งกร้าว นักวิเคราะห์มองว่านี่คือ “ศิลปะแห่งการยั่วยุ” (Art of the Timed Provocation) สไตล์ คิม จอง อึน ที่ออกแบบมาอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อบีบให้ประเด็นความมั่นคงของเกาหลีเหนือกลายเป็น “วาระซ่อนเร้น” (Shadow Agenda) ที่สำคัญที่สุด ควบคู่ไปกับการประชุมเศรษฐกิจระดับโลก และเพื่อทดสอบขีดจำกัดของความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ “คาดเดาไม่ได้” ระหว่างตัวเขากับ โดนัลด์ ทรัมป์

North Korea conducts ballistic missile tests ahead of Trump's Asia visit

“ทรัมป์-คิม” จาก “จดหมายรัก” สู่ “ขีปนาวุธนำวิถี” – เกมเดิมพันที่เปลี่ยนไป

หัวใจสำคัญของการวิเคราะห์โศกนาฏกรรมครั้งนี้ คือความสัมพันธ์ที่ “ไม่เหมือนใคร” ระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ

โลกยังคงจดจำภาพการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ที่สิงคโปร์ (2018), ความล้มเหลวที่ฮานอย (2019) และการพบกันแบบเซอร์ไพรส์ที่เขตปลอดทหาร (DMZ) ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหวี่ยงไปมาระหว่าง “เปลวไฟและความโกรธเกรี้ยว” (Fire and Fury) กับ “จดหมายรักที่สวยงาม” (Beautiful letters)

การที่ เกาหลีเหนือ ยิงขีปนาวุธ ในครั้งนี้ จึงเป็นการส่งข้อความโดยตรงถึง “โดนัลด์” มากกว่าที่จะส่งถึง “ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ”

ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือจากสถาบัน Sejong Institute ในกรุงโซล วิเคราะห์ว่า

“คิม จอง อึน กำลังเล่นเกมที่เขาถนัด เขาไม่ได้มองทรัมป์เหมือนประธานาธิบดีคนอื่นๆ เขามองทรัมป์ในฐานะ ‘คู่เจรจา’ ส่วนตัว การยิงครั้งนี้คือการเตือนความจำ… มันคือการพูดว่า ‘อย่าลืมฉัน ฉันยังอยู่ที่นี่ และฉันมีอาวุธใหม่’ นี่คือการสร้างแรงกดดัน (Leverage) ก่อนที่ทรัมป์จะทันได้ตั้งหลักเจรจาเรื่องอื่นในเอเชีย”

ในยุคของทรัมป์ การเจรจาระดับสูงสุด (Top-down diplomacy) คือนโยบายหลัก แต่การเจรจานั้นหยุดชะงักไปนาน การยิงครั้งนี้จึงเป็นการ “รีเซ็ต” โต๊ะเจรจาใหม่ในแบบของเปียงยาง

คิม กำลังทดสอบ “ทรัมป์ 2.0” หรือไม่?

นักวิเคราะห์ในวอชิงตันมองว่า คิม จอง อึน กำลัง “ทดสอบน้ำ” ว่านโยบาย “ทรัมป์ 2.0” (หากสมมติว่านี่คือการกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายในวาระปัจจุบัน) จะตอบสนองต่อการยั่วยุอย่างไร

  • ในอดีต ทรัมป์เคยแสดงท่าที “ไม่ใส่ใจ” ต่อการทดสอบขีปนาวุธพิสัยใกล้ โดยอ้างว่าเป็นเรื่อง “ปกติ” ที่ไม่ได้คุกคามแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากต่อเกาหลีใต้และญี่ปุ่น (ซึ่งอยู่ในระยะยิง)
  • ปัจจุบัน คิม จอง อึน อาจกำลังเดิมพันว่าทรัมป์จะยังคงมีท่าทีเช่นเดิม เพื่อรักษา “มรดก” ทางการทูตที่เขาเคยสร้างไว้กับเกาหลีเหนือ และอาจยอมเปิดการเจรจาอีกครั้งโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขเบื้องต้นที่เข้มงวด

“คิมรู้ว่าทรัมป์ต้องการ ‘ชัยชนะ’ ทางการทูตที่ยิ่งใหญ่” แหล่งข่าวอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว “การยิงขีปนาวุธคือการเพิ่ม ‘ราคา’ ของชัยชนะนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการเชื้อเชิญให้ทรัมป์กลับมาเล่นเกม ‘ดีลเมกเกอร์’ ที่เขาภูมิใจอีกครั้ง”

สั่นคลอนเจ้าภาพ “ยุน ซอก ยอล” เผชิญบททดสอบใหญ่บนเวที APEC

ในขณะที่เป้าหมายหนึ่งคือทรัมป์ อีกเป้าหมายที่สำคัญไม่แพ้กันคือเจ้าภาพ ประชุมเอเปก 2025 อย่างประธานาธิบดี ยุน ซอก ยอล แห่งเกาหลีใต้

นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดี ยุน ได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ “แข็งกร้าว” (Hawkish) ต่อเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน เขาได้รื้อฟื้นการซ้อมรบร่วมครั้งใหญ่กับสหรัฐฯ และผลักดันความร่วมมือไตรภาคี “สหรัฐฯ-เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น” ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากเปียงยาง

การยิงขีปนาวุธครั้งนี้ จึงเป็นการ “ตบหน้า” รัฐบาลยุน ซอก ยอล อย่างจงใจ

  1. ทำลายบรรยากาศการประชุม APEC คือเวที “เศรษฐกิจ” แต่เกาหลีเหนือจงใจ “ลาก” ประเด็นความมั่นคงและการทหารเข้ามาเป็นหัวข้อหลัก มันคือการประกาศว่า “จะไม่มีเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองได้ หากความมั่นคงบนคาบสมุทรยังไม่ถูกแก้ไข (ในแบบที่เปียงยางต้องการ)”
  2. ทำให้เจ้าภาพดูอ่อนแอ การยั่วยุก่อนการประชุมใหญ่ระดับโลก คือการพยายามทำให้เกาหลีใต้ดูเหมือน “เจ้าภาพที่ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้” ในสนามหลังบ้านของตัวเอง
  3. ตอกลิ่มความสัมพันธ์ เกาหลีเหนือรู้ดีว่าสหรัฐฯ (ภายใต้ทรัมป์) และเกาหลีใต้ (ภายใต้ ยุน) อาจมีมุมมองต่อการยั่วยุครั้งนี้ที่ “แตกต่างกัน” (ดังที่กล่าวไปแล้วว่าทรัมป์อาจมองเป็นเรื่องเล็ก) การยิงครั้งนี้จึงเป็นการ “ตอกลิ่ม” ให้เห็นรอยร้าวในพันธมิตรว่า สหรัฐฯ พร้อมจะปกป้องเกาหลีใต้จริงจังแค่ไหน

ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในย่านยงซาน ได้เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) ฉุกเฉินทันที โดยประธานาธิบดี ยุน ซอก ยอล ได้สั่งการให้กองทัพ “เตรียมพร้อมรับมือการยั่วยุเพิ่มเติมในระดับที่สูงขึ้น” และประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการ “ละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างชัดเจน”

North Korea Test Fires Ballistic Missile Ahead Of The APSC Summit | What Is  Kim Jong-Un's Plan?

“ขีปนาวุธนำวิถี” วิเคราะห์เทคโนโลยีที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการยั่วยุ

การที่สื่อของรัฐเกาหลีเหนือ (KCNA) และรายงานเบื้องต้นของ JCS ระบุว่าเป็น “ขีปนาวุธนำวิถี” (Guided Missile) นั้น มีนัยสำคัญทางทหารอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่แค่การยิงจรวด “สกั๊ด” (Scud) แบบเก่าๆ

ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเชื่อว่า ขีปนาวุธที่ทดสอบในครั้งนี้ อาจเป็นหนึ่งในสองตระกูลหลัก

  1. ตระกูล KN (เช่น KN-23/24)
  • นี่คือขีปนาวุธพิสัยใกล้ (SRBM) ที่ถอดแบบมาจาก “Iskander” ของรัสเซีย
  • อันตราย มันไม่ได้บินในวิถีโค้ง (Ballistic) แบบเดิมๆ แต่สามารถ “ดึง-เลี้ยว” (Pull-up maneuver) ในช่วงสุดท้ายก่อนถึงเป้าหมายได้
  • จุดประสงค์ ออกแบบมาเพื่อ “เอาชนะ” ระบบป้องกันขีปนาวุธของเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ที่ประจำการในภูมิภาคโดยเฉพาะ เช่น THAAD (Terminal High Altitude Area Defense) และ Patriot (PAC-3)
  1. ขีปนาวุธร่อน (Cruise Missile)
  • เกาหลีเหนือได้ทดสอบ “ขีปนาวุธร่อนทางยุทธศาสตร์” (Strategic Cruise Missile) ใหม่หลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีมานี้
  • อันตราย มันบินในระดับต่ำมาก (Low altitude) ทำให้เรดาร์ตรวจจับได้ยาก และสามารถ “นำวิถี” ตัวเองไปยังเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
  • จุดประสงค์ เพื่อแสดงศักยภาพในการโจมตีแบบ “ผ่าตัด” (Surgical strike) ต่อเป้าหมายสำคัญในเกาหลีใต้ เช่น ทำเนียบประธานาธิบดี หรือฐานทัพสหรัฐฯ

ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม การทดสอบครั้งนี้คือการส่งข้อความว่า “การคว่ำบาตร” (Sanctions) ไม่สามารถหยุดยั้งการพัฒนาเทคโนโลยีอาวุธของเปียงยางได้ และพวกเขามี “เขี้ยวเล็บ” ที่อันตรายและทันสมัยมากขึ้นกว่าการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่าง คิม และ ทรัมป์ ที่ฮานอย

ปฏิกิริยานานาชาติ เสียงประณามจากพันธมิตร และความเงียบของ “ปักกิ่ง-มอสโก”

ปฏิกิริยาจากนานาชาติเป็นไปตามคาด แต่ก็เผยให้เห็นรอยแยกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจนขึ้น

  • สหรัฐอเมริกา โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) ของทำเนียบขาว แถลงว่า “เราตระหนักถึงการยิงขีปนาวุธดังกล่าว และกำลังประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด… เราขอยืนยันว่าพันธสัญญาในการป้องกันประเทศเกาหลีใต้และญี่ปุ่นยังคง ‘แข็งแกร่งดุจเหล็ก’ (Ironclad)”
  • ญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ประณามการยิงครั้งนี้อย่างรุนแรงที่สุด โดยระบุว่าเป็นการ “คุกคามสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุ่นและภูมิภาค” และได้ยื่นประท้วงผ่านช่องทางการทูตในปักกิ่งแล้ว
  • จีน และ รัสเซีย นี่คือจุดที่น่าจับตามองที่สุด คาดว่ากระทรวงการต่างประเทศจีนและรัสเซียจะไม่ออกมา “ประณาม” เกาหลีเหนือโดยตรง แต่จะใช้ถ้อยคำเดิมๆ คือ “เรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอดทนอดกลั้น” (Exercise restraint) และอาจกล่าวโทษว่าการยั่วยุนี้เป็นผลมาจากการที่สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ดำเนินนโยบายเป็นปรปักษ์ หรือการซ้อมรบร่วม

ความแตกแยกนี้เองที่ คิม จอง อึน ใช้เป็นประโยชน์ เขารู้ดีว่า “มติคว่ำบาตร” ใหม่ๆ จากคณะมนตรีความมั่นคงฯ แทบจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ตราบใดที่จีนและรัสเซียยังคงใช้ “สิทธิ์วีโต้” เพื่อปกป้องเปียงยาง ท่ามกลางความขัดแย้งระดับโลก (เช่น ยูเครน, ไต้หวัน)

ผลกระทบต่อ APEC และมุมมองจากอาเซียน/ไทย

แม้ว่า APEC จะเป็นเวทีเศรษฐกิจ แต่การยิงขีปนาวุธครั้งนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการประชุม

  1. วาระความมั่นคงที่แทรกซึม ผู้นำที่จะเข้าร่วมประชุม (เช่น ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, แคนาดา และชาติอาเซียน) ไม่สามารถหารือเรื่อง “การค้าเสรี” โดยไม่พูดถึง “ความเสี่ยงด้านความมั่นคง” ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ได้อีกต่อไป เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการ “ขโมยซีน” การประชุม
  2. ความท้าทายต่อการเจรจาทวิภาคี การประชุม APEC มักเป็นเวทีสำหรับ “การประชุมทวิภาคี” (Bilateral meetings) นอกรอบ การยิงครั้งนี้จะบีบให้ “การหารือระหว่าง ทรัมป์ และ ยุน” ต้องทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับการวางแผนรับมือเกาหลีเหนือ แทนที่จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือห่วงโซ่อุปทาน
  3. มุมมองจากประเทศไทยและอาเซียน สำหรับประเทศไทยและชาติสมาชิกอาเซียน สถานการณ์นี้สร้างความกังวลอย่างยิ่ง
  • เสถียรภาพภูมิภาค อาเซียนยึดมั่นใน “ความเป็นแกนกลาง” (ASEAN Centrality) และเสถียรภาพของภูมิภาค ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเอเชียทั้งหมด
  • ความปลอดภัยแรงงาน ไทยมีแรงงานจำนวนมากที่ทำงานในเกาหลีใต้ การปะทุของความตึงเครียดเพิ่มความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของพลเมืองไทย
  • การทูตที่ยากลำบาก อาเซียน (ผ่านเวที ARF) เป็นหนึ่งในไม่กี่ช่องทางที่เกาหลีเหนือยังคงเข้าร่วม การยั่วยุครั้งนี้ทำให้การทูตในกรอบพหุภาคีเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

North Korea touts missile tests as Trump visits South Korea | PBS News

บทสรุป คาบสมุทรเกาหลีบนเส้นด้าย และ “การเจรจา” ที่ทรัมป์ต้องเผชิญ

เกาหลีเหนือ ยิงขีปนาวุธ ในวันนี้ ไม่ใช่จุดจบ แต่คือ “จุดเริ่มต้น” ของเกมการทูตและการเผชิญหน้าครั้งใหม่

เปียงยางได้โยน “ไพ่ใบแรก” ลงบนโต๊ะก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะทันได้ก้าวเท้าลงจากเครื่องบิน Air Force One ในกรุงโซล คิม จอง อึน ประสบความสำเร็จในการทำให้แน่ใจว่า เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ พบกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และเมื่อผู้นำ APEC ทั้งหมดมารวมตัวกัน ชื่อของ “เกาหลีเหนือ” จะต้องถูกเอ่ยถึงเป็นลำดับแรก

ตอนนี้ บอลถูกส่งกลับไปยังวอชิงตันแล้ว

โลกกำลังจับตามองว่า “ดีลเมกเกอร์” อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จะตอบสนองต่อ “ของขวัญต้อนรับ” ชิ้นนี้อย่างไร เขาจะกลับไปสู่ “เปลวไฟและความโกรธเกรี้ยว” หรือจะมองว่านี่คือ “คำเชิญ” ที่ท้าทาย ให้กลับสู่โต๊ะเจรจาส่วนตัวที่เขาเคยภาคภูมิใจอีกครั้ง?

คำตอบของเขาจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของคาบสมุทรเกาหลีและเวที ประชุมเอเปก ตลอดสัปดาห์ที่จะถึงนี้

 

แหล่งที่มาจาก : am2con