ตร.บราซิล ปฏิบัติการนองเลือด “การสังหารหมู่ 64 ศพ” เขย่าริโอเดจาเนโร “นรกในฟาเวลา” ครั้งประวัติศาสตร์ ท้าทายคำสั่งศาลสูงสุด

ตร.บราซิล ปฏิบัติการนองเลือด

(วันที่ 31 ตุลาคม 2025, ริโอเดจาเนโร/บราซิเลีย) – นครริโอเดจาเนโร, เมืองที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก, กำลังจมดิ่งสู่ความมืดมิดและเสียงร่ำไห้ในวันนี้ หลังจาก ตร.บราซิล ปฏิบัติการนองเลือด ครั้งใหญ่ที่สุดและเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา ปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบที่มุ่งเป้าถล่ม แก๊งค้ายาริโอเดจาเนโร ในกลุ่มชุมชนแออัด “คอมเพล็กโซ ดา มาเร” (Complexo da Maré) ได้แปรเปลี่ยนเป็น “การสังหารหมู่” (Chacina) ที่น่าสะพรึงกลัว โดยยอดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันแล้วพุ่งสูงถึง 64 ศพ

โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทำลายสถิติปฏิบัติการที่นองเลือดที่สุดครั้งก่อน (เหตุการณ์ที่จาคาเรซินโญ ปี 2021 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 28 ศพ) อย่างราบคาบ แต่ยังเป็นการ “ฉีกหน้า” และ “ท้าทาย” อำนาจของศาลสูงสุดแห่งชาติบราซิล (STF) อย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งเคยมีคำสั่งจำกัดการบุกจู่โจม “ฟาเวลา” (Favela) เพื่อปกป้องชีวิตพลเรือน

ในขณะที่ตำรวจทหาร (Polícia Militar) และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ BOPE (Batalhão de Operações Policiais Especiais) อ้างว่านี่คือปฏิบัติการที่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อต่อสู้กับ “กองทัพอาชญากร” ที่ติดอาวุธสงคราม กลุ่มนักสิทธิมนุษยชน, ทนายความ และชาวบ้านในพื้นที่ กลับเรียกสิ่งนี้ว่า “การประหารชีวิตนอกกระบวนการยุติธรรม” ขนานใหญ่

เหตุการณ์ 64 ศพนี้ ไม่ใช่แค่ข่าวอาชญากรรม แต่คือวิกฤตด้านมนุษยธรรมและสถาบันตุลาการ ที่กำลังตั้งคำถามถึงจิตวิญญาณของบราซิล ว่า “สงครามยาเสพติด” ที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษ ได้กลายเป็นการอนุญาตให้รัฐสังหารประชาชนที่ยากจนที่สุดของตนเองอย่างถูกกฎหมายไปแล้วหรือไม่

Largest ever police raid in Rio de Janeiro leaves at least 132 dead, public  defender's office says | CNN

“สงครามกลางเมืองในหนึ่งวัน” ถอดรหัสปฏิบัติการนรกที่ “ดา มาเร”

ปฏิบัติการเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่รุ่งสางของวันพฤหัสบดี กองกำลังตำรวจทหารกว่า 400 นาย พร้อมด้วยเฮลิคอปเตอร์หุ้มเกราะ (ที่ชาวบ้านเรียกว่า Caveirão Aéreo หรือ “กะโหลกบินได้”) และรถหุ้มเกราะภาคพื้นดิน (Caveirão) ได้บุกทะลวงเข้าไปใน “คอมเพล็กโซ ดา มาเร” (Complexo da Maré)

“ดา มาเร” ไม่ใช่ฟาเวลาเดียว แต่เป็นกลุ่มชุมชนแออัดขนาดมหึมา 16 แห่ง ที่ตั้งอยู่ระหว่างสนามบินนานาชาติและใจกลางเมืองริโอฯ ที่นี่คือบ้านของประชาชนกว่า 140,000 คน และเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นฐานที่มั่นหลักของแก๊งค้ายาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดสองกลุ่ม คือ Comando Vermelho (CV) (กองบัญชาการแดง) และ Terceiro Comando Puro (TCP)

ปฏิบัติการนองเลือด ครั้งนี้ พุ่งเป้าไปที่พื้นที่ของ CV โดยตำรวจอ้างว่าได้รับข่าวกรองว่ามีการประชุมระดับสูงของหัวหน้าแก๊ง และมีการซุกซ่อนอาวุธสงครามจำนวนมหาศาล

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ “นรกบนดิน”

“มันไม่ใช่การยิงปะทะ มันคือเสียงสงคราม” มาเรีย (นามสมมติ) ชาวบ้านในพื้นที่ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว AP ทั้งน้ำตา “เสียงเฮลิคอปเตอร์ยิงถล่มลงมาจากฟ้าไม่หยุด เสียงระเบิดดังตลอด 8 ชั่วโมง… พวกเขาไม่ได้มาเพื่อจับกุม พวกเขามาเพื่อฆ่า”

  • รายงานจากพื้นที่ สื่อท้องถิ่นและนักเคลื่อนไหวในฟาเวลา เผยแพร่ภาพที่น่าสยดสยอง ศพกองทับถมกันในตรอกซอกซอย, รอยเลือดสาดกระเซ็นบนกำแพง, และบ้านเรือนที่พรุนไปด้วยรูกระสุน
  • การปิดกั้น โรงเรียน 40 แห่ง และคลินิกสุขภาพ 8 แห่ง ในพื้นที่ ต้องปิดให้บริการทันที ตัดขาดการเข้าถึงการศึกษาและบริการสุขภาพของคนหลายหมื่นคน
  • คำอธิบายของตำรวจ โฆษกตำรวจทหารแถลงข่าวในบ่ายวันนั้น ยืนยันว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 64 ราย เป็น “ผู้ต้องสงสัย” (Suspeitos) ที่ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ และอ้างว่าสามารถยึดปืนไรเฟิลจู่โจมได้ 58 กระบอก, ปืนพก 30 กระบอก และระเบิดมือจำนวนมาก “น่าเสียใจที่เจ้าหน้าที่ของเราถูกต้อนรับด้วยอาวุธสงคราม นี่คือผลลัพธ์ของการเผชิญหน้า”

ทำลายสถิติ เมื่อ “64 ศพ” ลบ “28 ศพ” แห่งจาคาเรซินโญ

เพื่อให้เข้าใจว่าเหตุใดตัวเลข สังหาร 64 ศพ จึงสร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก เราต้องเข้าใจบริบทของ “ความรุนแรงของตำรวจ” ในริโอเดจาเนโร ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน

ริโอเดจาเนโร มีชื่อเสียงในด้านการที่ตำรวจใช้ความรุนแรงถึงตายสูงที่สุดในบราซิล (ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ตำรวจสังหารคนมากที่สุดในโลก) แต่แม้แต่ในมาตรฐานของริโอฯ ตัวเลข 64 ศพ ก็ยังเป็นสิ่งที่ “เหนือจินตนาการ”

สถิติที่ถูกทำลายลงอย่างยับเยิน คือ “การสังหารหมู่ที่จาคาเรซินโญ” (Jacarezinho Massacre) ในเดือนพฤษภาคม 2021

ในครั้งนั้น ปฏิบัติการของตำรวจในฟาเวลาจาคาเรซินโญ สังหารชีวิตผู้คนไป 28 ศพ (รวมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นาย) เหตุการณ์นั้นถูกประณามจากทั่วโลก และเป็นชนวนเหตุสำคัญที่นำไปสู่การแทรกแซงของศาลสูงสุด

การที่ปฏิบัติการครั้งใหม่นี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต “มากกว่าสองเท่า” ของสถิติที่เลวร้ายที่สุดเดิม บ่งชี้ถึง “การยกระดับ” นโยบายความมั่นคงที่น่ากลัว และความรู้สึก “ลอยนวลพ้นผิด” (Impunity) ของกองกำลังตำรวจอย่างสมบูรณ์แบบ

“ใน 4 ปี เราเปลี่ยนจากโศกนาฏกรรม 28 ศพ ไปสู่หายนะ 64 ศพ” โรเบอร์โต คันโต เดอ ซา นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐริโอเดจาเนโร (UERJ) กล่าว “นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่านโยบาย ‘สงครามยาเสพติด’ ของเราล้มเหลวโดยสิ้นเชิง มันไม่ได้ทำให้ยาเสพติดหายไป มันแค่ทำให้คนผิวดำที่ยากจนหายไปจากสถิติประชากร”

Brazil police raid on Rio drug trafficking gang leaves at least 64 people  dead | Euronews

การท้าทายอำนาจศาล ความล้มเหลวของ “ADPF 635” คืออะไร?

นี่คือประเด็นทางกฎหมายที่เป็นหัวใจของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ปฏิบัติการนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นได้เลย

หลังจากการสังหารหมู่ที่จาคาเรซินโญ (2021) และแรงกดดันจากภาคประชาสังคม ศาลสูงสุดบราซิล (Supremo Tribunal Federal – STF) ได้มีคำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ในคดีที่เรียกว่า “ADPF 635”

คำตัดสินนี้มีใจความสำคัญคือ

สั่งห้าม ตำรวจริโอเดจาเนโร ดำเนินปฏิบัติการจู่โจมในฟาเวลา ตลอดช่วงเวลาการระบาดของโควิด-19 (ซึ่งต่อมาถูกขยายเวลา) “เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด” (Absolutely Exceptional Cases) และต้องมีการแจ้งเตือนและเหตุผลประกอบที่ชัดเจนไปยังสำนักงานอัยการ

ADPF 635 ถูกมองว่าเป็น “เกราะคุ้มกัน” ชิ้นสุดท้ายของพลเรือนในฟาเวลา มันมีผลทำให้การเสียชีวิตจากปฏิบัติการตำรวจลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหนึ่ง

แต่ปฏิบัติการ “64 ศพ” ครั้งนี้ คือการ “เหยียบย่ำ” คำสั่ง ADPF 635 อย่างไม่ใยดี

นายโรดริโก มอนโดเนโก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของ สมาคมเนติบัณฑิตยสภาบราซิล (OAB) สาขาริโอฯ แถลงการณ์อย่างดุเดือด “นี่คือการละเมิดคำตัดสินของศาลสูงสุดอย่างโจ่งแจ้ง… 64 ชีวิตที่สูญเสียไป คือการดูหมิ่นสถาบันตุลาการ และคือการประกาศว่ากองกำลังตำรวจในริโอฯ อยู่เหนือกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เรากำลังยื่นเรื่องร้องเรียนฉุกเฉินต่อศาลสูงสุดให้ดำเนินการสอบสวนผู้ว่าการรัฐและผู้บัญชาการตำรวจทหารทันที”

ผู้พิพากษา เอ็ดสัน ฟาชิน (Edson Fachin) ผู้พิพากษา STF ที่ดูแลคดี ADPF 635 ได้ออกมาแสดง “ความกังวลอย่างสุดซึ้ง” และเรียกรายงานเบื้องต้นว่า “น่าตกใจ” โดยระบุว่าปฏิบัติการเช่นนี้จำเป็นต้องมีการตรวจสอบว่าเข้าข่าย “กรณีจำเป็นอย่างยิ่งยวด” ตามที่ศาลกำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น

“สงครามยาเสพติด” หรือ “สงครามกับคนจน” วาทกรรมที่ล้มเหลว

ปฏิบัติการครั้งนี้ตอกย้ำวาทกรรม “สงครามยาเสพติด” (Guerra às Drogas) ที่รัฐบาลบราซิล (โดยเฉพาะฝ่ายขวาจัด) ยึดถือมานาน นโยบายนี้มองว่า แก๊งค้ายาบราซิล ไม่ใช่ปัญหาอาชญากรรม แต่เป็น “ศัตรูของรัฐ” ที่ต้องถูกกำจัดด้วยกำลังทหาร

หน่วย BOPE (ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็น “หัวกะโหลกถูกมีดปัก”) คือตัวแทนของนโยบายนี้ พวกเขาได้รับการฝึกมาเพื่อ “การรบในเมือง” (Urban Warfare) ไม่ใช่ “การรักษาความสงบ” (Policing)

แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่านโยบายนี้ล้มเหลวในทุกมิติ

  1. แก๊งยังคงอยู่ แม้จะสังหาร “ทหาร” ระดับล่างไป 64 ศพ แต่โครงสร้างบัญชาการของ Comando Vermelho (CV) ยังคงไม่ถูกแตะต้อง และพวกเขาสามารถ “เกณฑ์” เด็กหนุ่มที่สิ้นหวังในฟาเวลามาทดแทนได้ภายในไม่กี่วัน
  2. ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น ปฏิบัติการเหล่านี้ไม่ได้ลดอาชญากรรม แต่กลับทำให้แก๊งติดอาวุธหนักขึ้นเพื่อป้องกันตัว (เช่น การใช้อาวุธสงคราม, ปืนต่อสู้อากาศยาน) ทำให้การปะทะในอนาคตรุนแรงยิ่งขึ้น
  3. การสังหารคนผิดเชื้อชาติ ข้อมูลจากเครือข่ายสังเกตการณ์ความมั่นคง (Security Observatory Network) ระบุว่า มากกว่า 80% ของผู้ที่ถูกตำรวจสังหารในริโอฯ เป็นคนผิวดำ “สงครามยาเสพติด” จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า แท้จริงแล้วคือ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวดำที่ยากจน” (Genocide of the poor, black population)

“ทุกครั้งที่มีปฏิบัติการใหญ่ ตำรวจจะแถลงว่ายึดปืนและยาเสพติดได้” ซิซิเลีย โอลิเวียรา นักข่าวสืบสวนผู้เชี่ยวชาญด้านความขัดแย้งในริโอฯ กล่าว “แต่สัปดาห์หน้า ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม สิ่งเดียวที่ไม่กลับมาคือชีวิตของ 64 คนนั้น… นี่คือการจัดการความปลอดภัยสาธารณะผ่านการนองเลือด”

Brazil police raid on Rio drug trafficking gang leaves at least 64 people  dead | Euronews

ปฏิกิริยาโลก ประณาม “การสังหารหมู่” และความเงียบงันของพันธมิตร

ปฏิบัติการตำรวจริโอเดจาเนโร ล่าสุด นี้ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก

  • สหประชาชาติ (UN) สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้บราซิลยุติการใช้กำลังเกินกว่าเหตุในทันที และดำเนินการ “สอบสวนอย่างเป็นอิสระและโปร่งใส” ต่อเหตุการณ์ที่ “ดา มาเร”
  • องค์กรสิทธิมนุษยชน Amnesty International และ Human Rights Watch ออกแถลงการณ์ร่วม ประณามเหตุการณ์นี้ว่าเป็น “การสังหารหมู่ที่ไม่อาจยอมรับได้” และเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบตำรวจทหารของบราซิลทั้งหมด
  • รัฐบาลต่างๆ รัฐบาลในยุโรปหลายประเทศแสดงความกังวล ในขณะที่สหรัฐอเมริกา (ซึ่งมักมีความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับบราซิล) ยังคงสงวนท่าที โดยเรียกร้องให้มีการสอบสวน แต่ก็ยังไม่ประณามปฏิบัติการดังกล่าวโดยตรง

ในขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักอีกสายของริโอฯ ก็ได้รับผลกระทบ นักท่องเที่ยวที่วางแผนจะมาเยือนต่างหวาดผวา แม้ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในฟาเวลา แต่ภาพลักษณ์ของเมืองในฐานะ “สมรภูมิรบ” ก็ได้ถูกตอกย้ำไปทั่วโลก

บทสรุป ริโอฯ ในคราบน้ำตา – การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเพิ่งเริ่มต้น

ตร.บราซิล ปฏิบัติการนองเลือด ที่ “ดา มาเร” คร่าชีวิต 64 ศพ ได้ทิ้งบาดแผลที่ไม่มีวันลบเลือนไว้ให้กับนครริโอเดจาเนโร มันคือจุดต่ำสุดครั้งใหม่ของนโยบายความมั่นคงที่ล้มเหลว และคือการประกาศชัยชนะของ “ความป่าเถื่อน” เหนือ “หลักนิติธรรม”

ในขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตเริ่มกระบวนการที่เจ็บปวดในการระบุตัวตนและฝังร่างผู้เป็นที่รัก การต่อสู้ในชั้นศาลก็เพิ่งจะเริ่มต้น ศาลสูงสุดบราซิล (STF) กำลังถูกจับตามองว่าจะตอบสนองต่อการท้าทายอำนาจครั้งนี้อย่างไร

โศกนาฏกรรม 64 ศพนี้ พิสูจน์แล้วว่า “สงครามยาเสพติด” ในบราซิล ไม่ได้ทำให้ใครปลอดภัยขึ้น มันเป็นเพียงใบอนุญาตให้รัฐสังหารประชาชนของตนเองในนามของ “ความมั่นคง” และตราบใดที่นโยบายนี้ยังคงอยู่ “ดา มาเร” ก็จะไม่ใช่การสังหารหมู่ครั้งสุดท้าย

แหล่งที่มาจาก : am2con