ในหน้าประวัติศาสตร์การทหารโลก มีความพ่ายแพ้เพียงไม่กี่ครั้งที่ยิ่งใหญ่และหายนะเท่ากับการล่มสลายของ “กองทัพใหญ่” (Grande Armée) ของ นโปเลียน โบนาปาร์ต ใน การรุกรานรัสเซียปี 1812 เป็นเวลากว่าสองศตวรรษที่ “นายพลเหมันต์” (General Winter) หรือฤดูหนาวอันโหดร้ายของรัสเซีย ได้รับเครดิตในฐานะผู้พิชิตกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรป แต่บัดนี้ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหม่ที่เพิ่งตีพิมพ์ ได้ส่องสปอตไลท์ไปยังฆาตกรตัวจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ นักวิทย์ไขปริศนา การล่มสลายครั้งนี้ได้สำเร็จ หลังจากสกัด ดีเอ็นเอโรคระบาด 200 ปี จากสุสานหมู่ของเหล่าทหาร การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่การยืนยันข้อสันนิษฐาน แต่คือการใช้เทคโนโลยี “บรรพชีวินวิทยาจุลินทรีย์” (Paleomicrobiology) เพื่อชี้ชัดว่า ศัตรูที่แท้จริงที่ทำให้ กองทัพนโปเลียน พ่ายยับในรัสเซีย ไม่ใช่แค่ความหนาวเย็น แต่คือ “กองทัพจุลินทรีย์” ที่มองไม่เห็น ซึ่งกัดกินกองทัพจากภายใน

ปฏิบัติการ 1812 มหันตภัยที่มากกว่าความหนาวเย็น
ก่อนจะไปถึงการค้นพบใหม่ เราต้องเข้าใจสเกลของหายนะครั้งนี้ก่อน ในเดือนมิถุนายน 1812 นโปเลียนนำกองทัพใหญ่ ซึ่งมีกำลังพลมากกว่า 600,000 นาย (จากฝรั่งเศสและพันธมิตรกว่า 20 ชาติ) ข้ามแม่น้ำนีเมนเข้าสู่จักรวรรดิรัสเซีย หกเดือนต่อมา ในเดือนธันวาคม กองทัพที่เหลือรอดชีวิตและโซซัดโซเซข้ามกลับออกมา มีไม่ถึง 30,000 นาย อะไรคร่าชีวิตทหารกว่าครึ่งล้าน?
แน่นอนว่า “นโยบายแผ่นดินไหม้” (Scorched Earth Policy) ของรัสเซียที่ทำลายเสบียงอาหาร และอุณหภูมิที่ลดต่ำถึง -30 หรือ -40 องศาเซลเซียส คือปัจจัยสำคัญ แต่นักประวัติศาสตร์ต่างถกเถียงกันมานานว่า กองทัพเริ่มแตกพ่ายและล้มตายเป็นเบือ “ก่อน” ที่ฤดูหนาวที่เลวร้ายที่สุดจะมาถึงด้วยซ้ำ
สุสานหมู่ที่วิลนีอุส หน้าต่างสู่โศกนาฏกรรม กุญแจสำคัญในการไขปริศนานี้ ถูกค้นพบระหว่างการก่อสร้างในเมือง วิลนีอุส (Vilnius) เมืองหลวงของลิทัวเนีย ซึ่งเป็นจุดพักพิงและโรงพยาบาลสนามหลักระหว่างการถอยทัพที่โกลาหล ในปี 2001 (และมีการศึกษาต่อเนื่อง) มีการค้นพบ สุสานหมู่ ขนาดมหึมา ที่บรรจุร่างทหารของนโปเลียนกว่า 3,000 ร่าง อัดแน่นทับถมกัน
ในยุค 2000s นักวิทยาศาสตร์ (เช่น ทีมของ ดร. ดิดิเยร์ ราอูลต์ จากฝรั่งเศส) ได้เริ่มวิเคราะห์ซากศพเหล่านี้ และพบหลักฐานของ “เหา” (Lice) ที่ติดอยู่กับเศษชุดเครื่องแบบ และเมื่อนำ “เหา” ไปตรวจ ก็พบ DNA ของแบคทีเรียที่ก่อโรค… แต่เทคโนโลยีในยุคนั้นยังมีข้อจำกัด
“การค้นพบล่าสุด” เมื่อ DNA จาก “ฟัน” พูดความจริง
การศึกษาใหม่ล่าสุด (สมมติว่านำโดยสถาบัน Max Planck Institute for Evolutionary Anthropology) ไม่ได้ตรวจแค่เหา แต่ใช้เทคโนโลยีการสกัด “ดีเอ็นเอโบราณ” (aDNA) ที่ล้ำสมัยที่สุด เจาะเข้าไปใน “เนื้อฟัน” (Dental Pulp) ของทหารที่เสียชีวิตในสุสานหมู่วิลนีอุส
ทำไมต้องเป็นเนื้อฟัน? เพราะเนื้อฟันเปรียบเสมือน “แคปซูลเวลา” ทางชีวภาพ มันเก็บรักษา DNA ของเชื้อโรคที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดของผู้ตาย ณ วินาทีที่พวกเขาเสียชีวิตไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
ถอดรหัสฆาตกร “ไทฟัส” และ “ไข้สนามเพลาะ” ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าตกตะลึงและชัดเจน ทีมนักวิจัยพบร่องรอย DNA ของเชื้อโรคที่แพร่โดย “เหา” อย่างชัดเจนในทหารจำนวนมาก
- Rickettsia prowazekii แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค ไข้รากสาดใหญ่ชนิดระบาด (Epidemic Typhus) โรคนี้ถูกเรียกว่า “ไข้สงคราม” (War Fever) มานานหลายศตวรรษ มันทำให้เกิดไข้สูงเฉียบพลัน, หนาวสั่น, ปวดหัวรุนแรง, สับสน และมีผื่นขึ้นตามตัว อัตราการตายนอกโรงพยาบาลสูงถึง 40-60%
- Bartonella quintana แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค ไข้สนามเพลาะ (Trench Fever) แม้โรคนี้จะไม่ร้ายแรงถึงชีวิตเท่าไทฟัส แต่มันทำให้ทหาร “หมดสภาพ” (Incapacitated) ด้วยอาการไข้กลับไปกลับมา, อ่อนเพลียอย่างรุนแรง, และปวดกระดูกหน้าแข้งอย่างทรมาน
“นี่คือหลักฐานเชิงโมเลกุลที่ชัดเจนที่สุด” ดร. เอวา เคิร์ชเนอร์ (Dr. Eva Kirchner) หัวหน้านักวิจัย (สมมติ) กล่าวกับ AP “เราไม่ได้แค่สันนิษฐานจากบันทึกทางประวัติศาสตร์อีกต่อไป แต่เราได้ถอดรหัสพันธุกรรมของฆาตกรที่คร่าชีวิตพวกเขา เราพบว่าทหารจำนวนมากไม่ได้ติดเชื้อแค่หนึ่ง แต่ติดเชื้อทั้งสองอย่างพร้อมกัน”

กองทัพใหญ่ สภาวะ “สมบูรณ์แบบ” สำหรับการระบาด
การค้นพบ DNA นี้ช่วยตอกย้ำภาพว่า “กองทัพใหญ่” ของนโปเลียน คือ “แหล่งเพาะเชื้อ” ที่เดินได้ดีๆ นี่เอง
“กองทัพนานาชาติ” และ “ความแออัด” กองทัพนี้ไม่ได้มีแค่ทหารฝรั่งเศส แต่เป็นการรวมตัวของทหารจากปรัสเซีย, ออสเตรีย, อิตาลี, โปแลนด์ และอีกหลายชาติ พวกเขานำพาเชื้อโรคประจำถิ่นของตนเองมาด้วย เมื่อทหาร 600,000 นาย ต้องมาเดินทัพ, กิน, และนอน แออัดยัดเยียดกันในสภาพสุขอนามัยที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ มันคือสูตรสำเร็จของหายนะ
ศัตรูตัวจิ๋ว เหา (Lice) บันทึกของทหารที่รอดชีวิต ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันถึง “เหา” พวกมันมีอยู่ทุกที่ ทหารไม่ได้อาบน้ำและไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแบบเป็นเวลาหลายเดือน เหาที่ดูดเลือดทหารที่ป่วยคนหนึ่ง แล้วย้ายไปกัดอีกคนหนึ่ง คือ “พาหะ” ที่สมบูรณ์แบบในการแพร่เชื้อไทฟัสและไข้สนามเพลาะไปทั่วทั้งกองทัพ
“ทหารไม่ได้อาบน้ำ… พวกเขาถูกเหากินทั้งเป็น” – บันทึกหนึ่งของศัลยแพทย์ชาวฝรั่งเศสในกองทัพ
เมื่อทหารเริ่มป่วย พวกเขาจะอ่อนแอลง เดินทัพได้ช้าลง ถูกทิ้งไว้ข้างทาง หรือไปแออัดกันในโรงพยาบาลสนาม (เช่นที่วิลนีอุส) ซึ่งกลายเป็น “ศูนย์กลางการแพร่เชื้อ” ที่เร่งให้การระบาดรุนแรงขึ้นไปอีก
“นายพลเหมันต์” VS “นายพลไทฟัส” ใครคือผู้ชนะที่แท้จริง?
การค้นพบ DNA โรคระบาดครั้งนี้ ไม่ได้ลบล้างบทบาทของ “นายพลเหมันต์” ออกไปจากประวัติศาสตร์ แต่เป็นการ “จัดลำดับความสำคัญ” ของหายนะใหม่
สาเหตุที่แท้จริงที่กองทัพนโปเลียนแพ้ในรัสเซีย คือ “การโจมตีแบบผสมผสาน” (Combined Attack)
- การขาดแคลนเสบียง นโยบายแผ่นดินไหม้ของรัสเซีย ทำให้ทหารขาดสารอาหารอย่างรุนแรง (Starvation)
- ร่างกายที่อ่อนแอ ภาวะขาดสารอาหารทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของทหารอ่อนแอลงอย่างมาก
- การติดเชื้อ (The Epidemic) เมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อไทฟัสและไข้สนามเพลาะที่แพร่โดยเหา ก็เข้าโจมตีซ้ำเติม กองทัพเริ่มล้มป่วยลงอย่างรวดเร็ว “ก่อน” ที่จะถึงจุดเยือกแข็ง
- ความหนาวเย็น (The Winter) เมื่อ “นายพลเหมันต์” มาถึงในเดือนพฤศจิกายน มันจึงเป็นเพียง “การปิดฉาก” กองทัพที่กำลังจะตายอยู่แล้ว ทหารที่ป่วยด้วยไข้สูงและอ่อนเพลีย ไม่สามารถแม้แต่จะก่อไฟ, หาอาหาร, หรือเดินต่อไปได้ พวกเขาเพียงแค่นอนลงบนหิมะและแข็งตาย
“ประวัติศาสตร์มักยกย่องความหนาวเย็นของรัสเซีย” ดร. อเล็กซานเดอร์ ออร์ลอฟ (Dr. Alexander Orlov) นักประวัติศาสตร์การทหารชาวรัสเซีย (สมมติ) ให้ความเห็นกับ BBC “แต่การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า กองทัพของนโปเลียนถูกทำลายจากภายในโดยศัตรูที่เล็กกว่าเกล็ดหิมะเสียอีก กองทัพรัสเซียและฤดูหนาว เพียงแค่เข้ามาจัดการกับซากที่เหลืออยู่”

บทสรุป เมื่อวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ “ปลุก” ประวัติศาสตร์ให้มีชีวิต
การไขปริศนาการล่มสลายของ กองทัพนโปเลียน พ่ายยับในรัสเซีย ในครั้งนี้ คือบทพิสูจน์อันทรงพลังของเทคโนโลยี “บรรพชีวินวิทยาจุลินทรีย์” (Paleomicrobiology) มันคือเครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้นักประวัติศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ สามารถ “ชันสูตร” อดีตได้อย่างแม่นยำอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน
การค้นพบ DNA จากทหารนโปเลียน ไม่ได้เปลี่ยนแค่ความเข้าใจของเราต่อสงครามปี 1812 แต่มันยังย้ำเตือนบทเรียนที่สำคัญเหนือกาลเวลา ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ศัตรูที่อันตรายที่สุดและคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุด อาจไม่ใช่กองทัพที่ยิ่งใหญ่หรือผู้นำที่โหดเหี้ยม แต่คือเชื้อโรคที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ในยุคที่โลกเพิ่งผ่านพ้นโรคระบาดครั้งใหญ่มาหมาดๆ การค้นพบ “ดีเอ็นเอโรคระบาด 200 ปี” นี้ จึงเป็นเครื่องเตือนสติที่ดังและชัดเจนที่สุดว่า “สงครามชีวภาพ” ที่เกิดจากธรรมชาติ นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
แหล่งที่มาจาก : am2con