ทหารเกาหลีเหนือหนีข้ามพรมแดน สู่เกาหลีใต้ – สัญญาณร้าวจาก “วิกฤตความอดอยาก” หรือรอยแตกในระบอบคิม จอง อึน?

ทหารเกาหลีเหนือหนีข้ามพรมแดน

ทหารเกาหลีเหนือหนีข้ามพรมแดน กรุงโซล (22 ตุลาคม 2025) – คณะเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้ (JCS) แถลงยืนยันเหตุการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นบริเวณพรมแดนเช้ามืดวันนี้ โดยระบุว่า ทหารเกาหลีเหนือหนีข้ามพรมแดน ข้ามเส้นแบ่งเขตทหาร (MDL) เข้ามายังฝั่งเกาหลีใต้ ก่อนที่ กองทัพโซลคุมตัวสอบ สวนอย่างปลอดภัย เหตุการณ์ ทหารเกาหลีเหนือแปรพักตร์ ที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งบริเวณ เขตปลอดทหาร (DMZ) ซึ่งเป็นหนึ่งในพรมแดนที่มีการป้องกันแน่นหนาที่สุดในโลกครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นประเด็นด้านความมั่นคงที่อ่อนไหว แต่ยังจุดประกายการวิเคราะห์ในระดับสากลทันทีว่า นี่คือเหตุการณ์เฉพาะตัว หรือเป็น “ดัชนีชี้วัด” ความเปราะบางที่กำลังกัดกินกองทัพประชาชนเกาหลี (KPA) ท่ามกลางรายงานวิกฤตความอดอยากและขวัญกำลังใจที่ตกต่ำภายในรัฐโดดเดี่ยวแห่งนี้

North Korean soldier fleeing Kim Jong Un's regime makes midnight dash to  freedom across DMZ - The Washington Post

ทหารเกาหลีเหนือหนีข้ามพรมแดน ปฏิบัติการข้าม “เส้นแบ่งความตาย” ลำดับเหตุการณ์ ณ DMZ

คณะเสนาธิการทหารร่วม (JCS) ของเกาหลีใต้ ได้เปิดเผยลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดของวันนี้ (22 ต.ค.) ซึ่งถือเป็นการละเมิดพรมแดนที่หาได้ยากยิ่งบริเวณแนวรบตอนกลาง (Central Front) ในจังหวัดคังวอน

  • การตรวจจับครั้งแรก JCS ระบุว่า เวลาประมาณ 0400 น. ตามเวลาท้องถิ่น ระบบเฝ้าระวังด้วยอุปกรณ์ตรวจจับความร้อน (TOD – Thermal Observation Device) ของกองทัพเกาหลีใต้ ได้ตรวจพบ “บุคคลไม่ทราบฝ่าย” กำลังเคลื่อนที่อยู่ทางตอนเหนือของเส้นแบ่งเขตทหาร (MDL) มุ่งหน้ามายังทิศใต้
  • การยืนยันตัวตนและการเข้าควบคุม กองกำลังเฝ้าระวังของเกาหลีใต้ได้ติดตามเป้าหมายอย่างใกล้ชิด และเมื่อบุคคลดังกล่าวข้ามพรมแดน MDL เข้ามาในฝั่งใต้ หน่วยลาดตระเวนจึงได้เข้าปฏิบัติการตามขั้นตอน “หน่วยได้เข้าควบคุมตัวบุคคลดังกล่าวอย่างปลอดภัย” แถลงการณ์ของ JCS ระบุ “จากการตรวจสอบเบื้องต้น ยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวเป็นทหารเกาหลีเหนือ (KPA) ที่ยังประจำการอยู่”
  • สถานะของผู้แปรพักตร์ ทหารคนดังกล่าว ซึ่งมีรายงานว่าเป็นทหารชั้นผู้น้อยและไม่ติดอาวุธ ไม่ได้รับบาดเจ็บจากการข้ามพรมแดน และได้แสดง “เจตจำนงในการแปรพักตร์” อย่างชัดเจนต่อเจ้าหน้าที่

สิ่งที่น่าสังเกตในเหตุการณ์นี้ คือการที่ไม่มีการยิงปะทะกันเกิดขึ้น ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการแปรพักตร์ครั้งประวัติศาสตร์ในปี 2017 ที่ทหารเกาหลีเหนือ “โอ ชอง ซง” ขับรถจี๊ปฝ่าด่านและถูกทหารฝ่ายเหนือด้วยกันยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะวิ่งข้าม เขตปกครองร่วม (JSA)

การหลบหนีที่ “เงียบ” ในครั้งนี้ อาจบ่งชี้ถึงความหละหลวมในการเฝ้าระวังของฝ่ายเกาหลีเหนือ หรือความสิ้นหวังในระดับที่ทหารคนดังกล่าวเลือกที่จะเสี่ยงชีวิตเดินเท้าฝ่าดงทุ่นระเบิดนับล้านลูกใน เขตปลอดทหาร (DMZ)

“ไส้ศึก” หรือ “ผู้ลี้ภัย”? กระบวนการสอบสวนที่เข้มงวดของกรุงโซล

ทันทีที่ กองทัพโซลคุมตัวสอบ สวนเบื้องต้นเสร็จสิ้น ทหารนายนี้ไม่ได้ถูกปฏิบัติในฐานะ “ผู้ลี้ภัย” ทันที แต่ถูกส่งตัวเข้าสู่กระบวนการที่เข้มงวดที่สุดขั้นตอนหนึ่งของเกาหลีใต้ เพื่อตอบคำถามที่สำคัญที่สุด เขาคือผู้แสวงหาอิสรภาพ หรือ “สายลับ” ที่แฝงตัวมา?

จาก JCS สู่ NIS การส่งต่อภารกิจ

ตามกฎหมายของเกาหลีใต้ กองทัพ (JCS) จะดูแลความปลอดภัยทางกายภาพและการยืนยันตัวตนเบื้องต้นเท่านั้น หลังจากนั้น ภารกิจจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานข่าวกรองหลัก

  • สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (NIS) ทหารนายนี้จะถูกย้ายไปยังศูนย์สอบสวนพิเศษ ซึ่งมักจะอยู่นอกกรุงโซล และถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
  • การตรวจสอบภูมิหลังอย่างเข้มข้น NIS จะใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรืออาจถึงหลายเดือน ในการซักถามอย่างละเอียด ประกอบด้วย
    1. การยืนยันตัวตน เขาเป็นใคร มาจากหน่วยไหน ยศอะไร ครอบครัวเป็นใคร เพื่อตรวจสอบว่าเรื่องราวของเขาตรงกับข้อมูลข่าวกรองที่เกาหลีใต้มีอยู่หรือไม่
    2. การตรวจสอบแรงจูงใจ ทำไมเขาถึงหนี? (นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด)
    3. การคัดกรองสายลับ (Spy Screening) นี่คือขั้นตอนที่เข้มงวดที่สุด เกาหลีใต้มีความกังวลอย่างมากต่อ “ผู้แปรพักตร์ปลอม” (False Defectors) ที่ถูกส่งมาเพื่อปฏิบัติการจารกรรม
    4. การรวบรวมข่าวกรอง หาก NIS เชื่อว่าเขามีเจตนาบริสุทธิ์ เขาจะกลายเป็น “ขุมทรัพย์ข่าวกรอง” ที่มีชีวิต

Yet another person makes it into N. Korea past S. Korean military's border  guards

ขุมทรัพย์ข่าวกรองจากแนวหน้า

คำถามที่ ขั้นตอนการสอบสวนผู้แปรพักตร์ มุ่งเน้น ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองระดับสูง แต่คือ สถานการณ์เกาหลีเหนือ ในระดับภาคพื้นดินที่ข่าวกรองดาวเทียมไม่สามารถบอกได้

  • ขวัญกำลังใจทหาร ทหารในหน่วยของเขารู้สึกอย่างไร? พวกเขาภักดีต่อ คิม จอง อึน แค่ไหน?
  • วิกฤตความอดอยาก สภาพความเป็นอยู่เป็นอย่างไร? กองทัพได้รับส่วนแบ่งอาหารเพียงพอหรือไม่? (นี่คือ “ดัชนีชี้วัด” ที่สำคัญที่สุด)
  • การแพร่ระบาดของโรค มีรายงานการระบาดของโรคในกองทัพหรือไม่?
  • การรับรู้ข่าวสาร ทหารแนวหน้าสามารถเข้าถึงสื่อจากเกาหลีใต้หรือต่างประเทศได้หรือไม่?
  • ความเคลื่อนไหวทางทหาร มีคำสั่งใหม่ๆ หรือการเตรียมพร้อมสำหรับการยั่วยุครั้งใหม่หรือไม่?

“ทหารที่แปรพักตร์จากแนวหน้า DMZ มีคุณค่าอย่างยิ่ง” ดร. พัค วอน กอน ศาสตราจารย์ด้านเกาหลีเหนือศึกษา จากมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา ให้ความเห็นกับสำนักข่าว AP “พวกเขาคือภาพสะท้อนที่ ‘สดใหม่’ ที่สุดของสภาพความเป็นจริงใน KPA ซึ่งแตกต่างจากพลเรือนที่หนีผ่านจีนซึ่งอาจใช้เวลาเดินทางหลายปี”

มุมมองเชิงวิเคราะห์ ทำไมทหาร KPA ถึงเสี่ยงตายข้าม DMZ?

ในขณะที่โลกกำลังรอผลการสอบสวน นักวิเคราะห์และกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างชี้ไปที่ “แรงจูงใจ” ที่เป็นไปได้มากที่สุด ซึ่งสะท้อนภาพความเปราะบางภายในของเกาหลีเหนือ

วิกฤตความอดอยาก “ความภักดีที่ถูกกัดกร่อน”

นี่คือทฤษฎีที่มีน้ำหนักมากที่สุด สถานการณ์เกาหลีเหนือ ด้านมนุษยธรรมย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การปิดพรมแดนอย่างเข้มงวดในช่วงโควิด-19

  • กองทัพที่ถูกลืม แม้ว่าโฆษณาชวนเชื่อของเปียงยางจะอ้างว่า กองทัพคือ “อันดับหนึ่ง” (Military-First Policy) แต่ในความเป็นจริง ทหารในหน่วยรบแนวหน้ามักถูกทอดทิ้ง รายงานจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนในกรุงโซล (เช่น NK Watch) ระบุว่า ทหารชั้นผู้น้อยจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานจากภาวะทุพโภชนาการอย่างรุนแรง
  • การคอร์รัปชั่นในกองทัพ ผู้บังคับบัญชามักยักยอกเสบียงอาหาร ทำให้ทหารชั้นผู้น้อยต้องออกไปหาอาหารเอง หรือขโมยจากพลเรือน
  • “ทหารผี” มีรายงานว่าทหารจำนวนมากขาดประจำการเพื่อไปหาอาหาร “การที่ทหารซึ่งควรจะเป็นผู้ปกป้องระบอบ กลับต้องหนีตายเพราะความหิวโหย มันคือความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของระบบ” ผู้เชี่ยวชาญจาก 38 North กล่าว

การลงโทษที่โหดร้ายและขวัญกำลังใจที่ตกต่ำ

นอกเหนือจากความอดอยาก สภาพการรับใช้ชาติใน KPA นั้นโหดร้าย การเกณฑ์ทหารภาคบังคับสำหรับผู้ชายยาวนานถึง 10 ปี

  • การทารุณกรรมภายใน มีรายงานอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการทุบตีอย่างรุนแรง, การลงโทษที่ไร้มนุษยธรรม, และวัฒนธรรม “รุ่นพี่” ที่กดขี่ข่มเหงรุ่นน้อง
  • ความสิ้นหวังทางอุดมการณ์ คนรุ่นใหม่ในเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะผู้ที่เกิดหลัง “ยุคความอดอยาก” ในทศวรรษ 1990 (The Arduous March) ไม่ได้ผูกพันกับอุดมการณ์ “จูเช่” (Juche) อย่างเหนียวแน่นเท่าคนรุ่นพ่อแม่ การเข้าถึงสื่อต่างประเทศอย่างลับๆ (ผ่าน USB หรือวิทยุคลื่นสั้น) ได้เปิดโลกทัศน์ของพวกเขา

“เรากำลังเห็นรอยแตกในเกราะป้องกันอุดมการณ์” ผู้แปรพักตร์ระดับสูงที่เคยทำงานในรัฐบาลเปียงยาง กล่าวกับ Reuters “คนหนุ่มสาวในกองทัพไม่ได้เชื่อในคำโกหกอีกต่อไป พวกเขาแค่รับใช้เพราะความกลัว และเมื่อความสิ้นหวังมีมากกว่าความกลัว พวกเขาก็จะหนี”

North and South Korea Troops Cross Border For First Time Since War, This  Time for Peace - Newsweek

ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปราะบาง ปฏิกิริยาจากเปียงยางและพันธมิตร

การแปรพักตร์ของ ทหารเกาหลีเหนือหนีข้ามพรมแดน แม้จะเป็นเพียงคนเดียว แต่ส่งแรงกระเพื่อมทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • ปฏิกิริยาของเกาหลีเหนือ (คาดการณ์)
    • ความเงียบงัน รัฐบาลเปียงยางจะไม่ยอมรับเหตุการณ์นี้ต่อสาธารณะโดยเด็ดขาด การยอมรับว่าทหารของตนหนีไปหา “ศัตรู” ถือเป็นความอัปยศสูงสุด
    • การล่าแม่มดภายใน จะมีการสอบสวนครั้งใหญ่ในหน่วยที่ทหารคนดังกล่าวสังกัด ผู้บังคับบัญชาและทหารยามที่เกี่ยวข้อง อาจต้องเผชิญกับการลงโทษอย่างรุนแรง หรือแม้กระทั่งการประหารชีวิต
    • การยกระดับความตึงเครียด เพื่อกลบข่าวร้ายและเบี่ยงเบนความสนใจภายใน เกาหลีเหนืออาจตอบโต้ด้วยการทดสอบขีปนาวุธ หรือส่งโดรนละเมิดน่านฟ้าเกาหลีใต้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
  • ปฏิกิริยาของเกาหลีใต้
    • ความโปร่งใสแบบระมัดระวัง รัฐบาลประธานาธิบดียุน ซ็อก-ยอล เลือกที่จะแถลงข่าวอย่างรวดเร็ว (ผ่าน JCS) เพื่อแสดงความโปร่งใส แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะพยายามลดทอนความสำคัญของเหตุการณ์ เพื่อไม่ให้เป็นการ “ยั่วยุ” เปียงยางโดยไม่จำเป็น
  • ปฏิกิริยาของสหรัฐฯ
    • กองกำลังสหรัฐฯ ในเกาหลี (USFK) จะออกแถลงการณ์สั้นๆ ว่า “รับทราบรายงาน” และ “ยืนยันการสนับสนุนพันธมิตร ROK” เหตุการณ์นี้เป็นการย้ำเตือนถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่ชายแดน ซึ่งทหารอเมริกันยังคงประจำการอยู่

บทสรุป (Conclusion)

การที่ ทหารเกาหลีเหนือหนีข้ามพรมแดน มายังเกาหลีใต้ในวันนี้ เป็นมากกว่าข่าวพาดหัวเรื่องความมั่นคง มันคือเรื่องราวด้านมนุษยธรรมที่เจ็บปวด และอาจเป็น “นกขมิ้นในเหมืองถ่านหิน” ที่ส่งสัญญาณเตือนภัย

ในขณะที่ กองทัพโซลคุมตัวสอบ สวนชายหนุ่มผู้สิ้นหวังคนนี้อย่างเข้มงวด เพื่อคัดกรองภัยคุกคามและเก็บเกี่ยวข่าวกรอง โลกภายนอกก็ได้เห็นรอยแตกที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของระบอบ คิม จอง อึน รอยแตกที่ไม่ได้เกิดจากขีปนาวุธหรืออาวุธนิวเคลียร์ แต่เกิดจากสิ่งที่พื้นฐานที่สุดอย่าง “ความอดอยาก” และ “ความสิ้นหวัง” ของมนุษย์

การหลบหนีที่เสี่ยงตายครั้งนี้ ตอกย้ำว่า แม้กำแพงอุดมการณ์และรั้วลวดหนามของ DMZ จะสูงและหนาแน่นเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถกักขังความปรารถนาพื้นฐานในการมีชีวิตรอดได้ (ความยาวบทความ ประมาณ 2,250 คำ)

แหล่งที่มาจาก : am2con