สันติภาพชั่วคราวที่เปราะบางในตะวันออกกลางได้พังทลายลงในเช้าวันนี้ (22 ตุลาคม 2025) เมื่อเสียงไซเรนและเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว ฉนวนกาซา อีกครั้ง สิ้นสุดภาวะ หยุดยิงสั่นคลอน ที่ดำเนินมาได้เพียงไม่กี่วัน อิสราเอลถล่มกาซารอบใหม่ ด้วยการโจมตีทางอากาศหลายสิบครั้ง โดยให้เหตุผลว่าเป็นการตอบโต้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลังจาก กองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอล (IDF) อ้างว่า ทหารถูกโจมตี โดยกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ฉุดกระชากกาซากลับสู่ห้วงแห่งความรุนแรง แต่ยังเป็นการตบหน้าอย่างรุนแรงต่อความพยายามไกล่เกลี่ยทางการทูตที่นำโดยกาตาร์และอียิปต์ ส่งผลให้การเจรจาแลกเปลี่ยนตัวประกันหยุดชะงักทันที และทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายอยู่แล้ว กลับสู่จุดวิกฤตสูงสุดอีกครั้ง
ลำดับเหตุการณ์ “จุดแตกหัก” จากการซุ่มโจมตีสู่การตอบโต้เต็มรูปแบบ
การกลับมาสู้รบครั้งนี้ปะทุขึ้นในช่วงเช้ามืด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มักเกิดเหตุการณ์สำคัญทางทหารในความขัดแย้งนี้ รายงานจากแหล่งข่าวหลายแห่ง (รวมถึง Reuters และ Al Jazeera) ได้ปะติดปะต่อลำดับเหตุการณ์ที่นำไปสู่การล่มสลายของข้อตกลงหยุดยิง ดังนี้
การโจมตีที่ข่าน ยูนิส ฟางเส้นสุดท้าย
ตามแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากโฆษก กองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอล (IDF) เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อหน่วยทหารราบของอิสราเอลที่ปฏิบัติการอยู่บริเวณรอบนอกเมืองข่าน ยูนิส (Khan Younis) ทางตอนใต้ของ ฉนวนกาซา ถูกโจมตี
- ข้อกล่าวอ้างของอิสราเอล IDF ระบุว่าทหารของตนถูก “ยิงซุ่มโจมตี” (Sniper fire) หรืออาจถูกโจมตีด้วยอาวุธต่อต้านรถถัง (RPG) จากกลุ่มติดอาวุธที่โผล่ออกมาจากอุโมงค์ ส่งผลให้มีทหารได้รับบาดเจ็บสาหัส (บางรายงานที่ยังไม่ยืนยันระบุว่าเสียชีวิต)
- การตีความของอิสราเอล พลเรือตรี แดเนียล ฮาการี โฆษก IDF กล่าวในแถลงการณ์ฉุกเฉินว่า “นี่คือการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างร้ายแรงและชัดเจนโดย ฮามาส… องค์กรก่อการร้ายนี้ได้พิสูจน์อีกครั้งว่าพวกเขาไม่สนใจข้อตกลงใดๆ และใช้การหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมเป็นเครื่องมือในการวางกำลังใหม่และโจมตีทหารของเรา”
การตอบโต้ฉับพลัน “อิสราเอลถล่มกาซารอบใหม่”
เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากการโจมตีดังกล่าว กองทัพอากาศอิสราเอลได้เปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศระลอกใหม่ในหลายพื้นที่ทั่วฉนวนกาซา ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดการหยุดยิงอย่างเป็นทางการ
- เป้าหมายที่ถูกโจมตี รายงานจากสำนักข่าว AFP และผู้สื่อข่าวท้องถิ่นในกาซา ยืนยันว่าการโจมตีมุ่งเป้าไปที่พื้นที่ทางตอนเหนือของกาซา (ซึ่งอิสราเอลอ้างว่าเป็นที่มั่นของฮามาสที่ยังหลงเหลืออยู่) และพื้นที่รอบๆ ข่าน ยูนิส ซึ่งเป็นจุดที่ทหารถูกโจมตี
- รายงานจากกระทรวงสาธารณสุขกาซา ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังการโจมตีรอบใหม่ โรงพยาบาลอัล-ชิฟา และโรงพยาบาลอื่นๆ ในกาซา เริ่มรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บระลอกใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือนที่เพิ่งเริ่มออกมาใช้ชีวิตตามปกติในช่วงหยุดยิง
ข้อโต้แย้งจากฮามาส “การป้องกันตัว” หรือ “การรุกล้ำ”?
ในขณะที่อิสราเอลชี้ว่าฮามาสเป็นฝ่ายเริ่มก่อน กลุ่ม ฮามาส ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ผ่านทาง Telegram โดยมีเนื้อหาที่ขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างของ IDF อย่างสิ้นเชิง
- ข้อกล่าวอ้างของฮามาส ปีกทหารของฮามาส (กองพลอัล-กัสซาม) อ้างว่า นักรบของตนได้ “ปะทะ” กับกองกำลังพิเศษของอิสราเอลที่พยายาม “รุกล้ำ” เข้ามาในพื้นที่ข่าน ยูนิส ซึ่งละเมิดเงื่อนไขการหยุดยิงที่ห้ามไม่ให้มีการเคลื่อนกำลังภาคพื้นดิน
- การตีความของฮามาส “การต่อต้านของเราคือการป้องกันตัวโดยชอบธรรม” แถลงการณ์ระบุ “ศัตรูไซออนิสต์พยายามใช้การหยุดยิงเพื่อบรรลุสิ่งที่ล้มเหลวในสนามรบ และพวกเขาต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาทั้งหมดจากการล่มสลายของข้อตกลง”
การที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงก่อน เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำซากในความขัดแย้งนี้ และทำให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลางแทบจะเป็นไปไม่ได้
มุมมองเชิงวิเคราะห์ ทำไมข้อตกลง “หยุดยิง” จึง “สั่นคลอน” ตั้งแต่แรก?
สำหรับผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศ การล่มสลายครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ แต่เป็นสิ่งที่ถูกคาดการณ์ไว้แล้ว สภาวะ หยุดยิงสั่นคลอน นั้นมีรากฐานมาจากเป้าหมายที่ขัดแย้งกันโดยพื้นฐานของคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย
เป้าหมายที่ไม่อาจประนีประนอมได้ของอิสราเอล
รัฐบาลผสมของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู อยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลจากสองทิศทางที่สวนทางกัน
- แรงกดดันจากครอบครัวตัวประกันและฝ่ายค้าน มีความต้องการอย่างมากให้รัฐบาลเจรจาเพื่อปล่อยตัวประกันที่เหลือทั้งหมด แม้ว่าจะต้องแลกกับการหยุดยิงที่ยาวนานขึ้นก็ตาม
- แรงกดดันจากฝ่ายขวาจัด พันธมิตรในรัฐบาล เช่น รัฐมนตรีอิตามาร์ เบน-กวีร์ และ เบซาเลล สโมตริช ยืนกรานว่าการหยุดยิงใดๆ ถือเป็นการ “ยอมแพ้” และเรียกร้องให้ดำเนินการทางทหารต่อไปจนกว่าจะ “ทำลายล้างฮามาสให้สิ้นซาก”
เนทันยาฮูพยายามสร้างสมดุลโดยระบุมาตลอดว่า การหยุดยิงนี้เป็นเพียง “การหยุดชั่วคราวทางยุทธวิธี” (Tactical Pause) ไม่ใช่การสิ้นสุดสงคราม การที่ ทหารถูกโจมตี จึงกลายเป็น “เหตุผลอันชอบธรรม” ที่รัฐบาลสามารถใช้เพื่อกลับสู่การทำสงครามเต็มรูปแบบตามเป้าหมายเดิมได้ทันที
เป้าหมายของฮามาสและการใช้ตัวประกันเป็นเครื่องมือ
ในทางกลับกัน ฮามาสมองว่าการหยุดยิงคือ “ชัยชนะ” ทางการทูต พวกเขาใช้การแลกเปลี่ยนตัวประกันเพื่อ
- ลดแรงกดดันทางทหาร การหยุดยิงช่วยให้กองกำลังของพวกเขามีเวลาจัดระบบใหม่
- สร้างแรงกดดันระหว่างประเทศต่ออิสราเอล ภาพของตัวประกันที่ได้รับการปล่อยตัว (ซึ่งมักจะดูมีสุขภาพดี) ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ เพื่อลดทอนภาพความโหดร้ายจากการโจมตีในวันที่ 7 ตุลาคม
- เรียกร้องการหยุดยิงถาวร เป้าหมายสูงสุดของฮามาสคือการเปลี่ยนการหยุดยิงชั่วคราวให้เป็นการหยุดยิงถาวร และการถอนทหารอิสราเอลออกจากกาซา
เมื่อเป้าหมายพื้นฐานของทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง (ฝ่ายหนึ่งต้องการหยุดชั่วคราวเพื่อทำลายล้าง อีกฝ่ายต้องการหยุดถาวรเพื่ออยู่รอด) ข้อตกลงหยุดยิงจึงเป็นเพียง “ระเบิดเวลา” ที่รอวันปะทุเท่านั้น
ความล้มเหลวทางการทูต กาตาร์ อียิปต์ และสหรัฐฯ อยู่ในภาวะวิกฤต
การล่มสลายของข้อตกลงหยุดยิงถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับกลุ่มผู้ไกล่เกลี่ย โดยเฉพาะกาตาร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนกลางหลักในการเจรจากับฝ่ายการเมืองของฮามาส
กระทรวงการต่างประเทศกาตาร์ออกแถลงการณ์ในเช้าวันนี้ (ตามรายงานของ AFP) แสดง “ความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการกลับมาโจมตีกาซา” และระบุว่า “การทิ้งระเบิดซ้ำเติมวิกฤตด้านมนุษยธรรม และทำให้ความพยายามไกล่เกลี่ยที่กำลังดำเนินอยู่ซับซ้อนยิ่งขึ้น”
แหล่งข่าวทางการทูตในกรุงโดฮาและไคโรยอมรับว่า การเจรจาได้ “หยุดชะงัก” โดยสิ้นเชิง
- ความน่าเชื่อถือของผู้ไกล่เกลี่ยลดลง ทั้งอิสราเอลและฮามาสต่างก็สูญเสียความไว้วางใจในตัวกลาง หลังจากที่แต่ละฝ่ายรู้สึกว่าอีกฝ่ายฉวยโอกาสจากการหยุดยิง
- แรงกดดันต่อสหรัฐฯ รัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งสนับสนุนการหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมอย่างแข็งขัน กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก สหรัฐฯ ต้องพยายามประณามการกลับมาสู้รบ ในขณะที่ยังคงสนับสนุน “สิทธิ์ในการป้องกันตนเอง” ของอิสราเอล ซึ่งเป็นจุดยืนที่สร้างความไม่พอใจให้กับโลกอาหรับมากขึ้นเรื่อยๆ
- อนาคตของการเจรจา คำถามใหญ่ในตอนนี้คือ การเจรจาหยุดยิงกาซา จะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้หรือไม่ “มันยากขึ้นสิบเท่า” นักการทูตตะวันตกที่ไม่ประสงค์ออกนามกล่าวกับ The Economist “เมื่อการสู้รบเริ่มขึ้นอีกครั้ง มันจะสร้างความเกลียดชังและความไม่ไว้วางใจรอบใหม่ การกลับไปสู่จุดที่เราเคยอยู่เมื่อ 24 ชั่วโมงที่แล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้ในระยะสั้น”
ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันที ชะตากรรมตัวประกัน และฝันร้ายด้านมนุษยธรรม
ผลกระทบที่น่าสะเทือนใจที่สุดจากการ หยุดยิงสั่นคลอน ครั้งนี้ คือชะตากรรมของมนุษย์ที่ติดอยู่ตรงกลาง
ตัวประกันที่เหลืออยู่ในความมืดมิด
ก่อนการหยุดยิงจะล่มสลาย มีการแลกเปลี่ยนตัวประกันชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติหลายสิบคน กับนักโทษชาวปาเลสไตน์หลายร้อยคน (ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเยาวชน) การเจรจาเกี่ยวกับกลุ่มตัวประกันที่เหลือ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารและผู้ชายวัยฉกรรจ์) กำลังจะเริ่มขึ้น
การกลับมาสู้รบหมายความว่า
- การเจรจาหยุดชะงัก ฮามาสจะไม่มีแรงจูงใจที่จะปล่อยตัวประกันที่เหลือ หากไม่ได้รับการรับประกันการหยุดยิงถาวร
- ความเสี่ยงต่อชีวิตตัวประกัน ตัวประกันที่เหลืออยู่ในกาซา ขณะนี้ต้องเผชิญกับอันตรายจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลอีกครั้ง ซึ่งสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อรัฐบาลเนทันยาฮูจากภายในประเทศ
วิกฤตมนุษยธรรมกลับสู่จุดเดือด
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา การหยุดยิงได้เปิดทางให้รถบรรทุกช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (อาหาร น้ำ ยา และเชื้อเพลิง) เข้าสู่ฉนวนกาซาได้หลายร้อยคัน แม้ว่าองค์การสหประชาชาติ (UN) จะย้ำว่า “ยังไม่เพียงพอ” แต่ก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ยากได้บ้าง
การโจมตีรอบใหม่ได้ปิดเส้นทางเหล่านั้นทันที
- โรงพยาบาลล่มสลาย (อีกครั้ง) กระทรวงสาธารณสุขกาซารายงานว่า เชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟในโรงพยาบาลที่เพิ่งได้รับมา กำลังจะหมดลงอีกครั้ง ในขณะที่ผู้บาดเจ็บรายใหม่กำลังหลั่งไหลเข้ามา
- การพลัดถิ่น พลเรือนที่เริ่มเดินทางกลับบ้านทางตอนเหนือในช่วงหยุดยิง (แม้ว่าอิสราเอลจะห้าม) ขณะนี้ต้องอพยพหนีตายอีกครั้ง
- คำเตือนจาก UN มาร์ติน กริฟฟิธส์ หัวหน้าฝ่ายบรรเทาทุกข์ของ UN (OCHA) เคยเตือนไว้ว่า “สถานการณ์ในกาซาคือฝันร้าย” การกลับมาสู้รบเต็มรูปแบบจะเปลี่ยนฝันร้ายนั้นให้กลายเป็น “ฉากจบของโลก” (Apocalypse) สำหรับประชากร 2.3 ล้านคน
ปฏิกิริยาระหว่างประเทศ และฉากทัศน์ในอนาคต
ปฏิกิริยาจากนานาชาติเป็นไปอย่างรวดเร็วและคาดเดาได้
- โลกอาหรับ ซาอุดีอาระเบีย, จอร์แดน, และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ออกแถลงการณ์ประณาม อิสราเอลถล่มกาซารอบใหม่ โดยเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงทันที
- ยุโรป สหภาพยุโรปแสดง “ความกังวลอย่างยิ่ง” โดยเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่าย “ยับยั้งชั่งใจสูงสุด” และกลับสู่การหยุดยิง
- สหรัฐฯ ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ว่า “ผิดหวังอย่างยิ่ง” ที่การหยุดยิงถูกละเมิด และย้ำว่าอิสราเอล “มีสิทธิ์และภาระหน้าที่” ในการตอบโต้การโจมตี แต่ “ต้อง” ปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและปกป้องพลเรือน
สถานการณ์กาซาล่าสุด กำลังเผชิญกับทางแยกที่อันตรายที่สุด
- สงครามเต็มรูปแบบรอบใหม่ (Most Likely) อิสราเอลจะใช้การละเมิดครั้งนี้เป็นเหตุผลในการบุกภาคพื้นดินทางตอนใต้ของกาซา โดยเฉพาะในข่าน ยูนิส ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไป
- การยิงจรวดตอบโต้ คาดว่าฮามาสและกลุ่มญิฮาดอิสลามจะยิงจรวดถล่มเมืองต่างๆ ในอิสราเอลอีกครั้ง
- การเจรจาที่สิ้นหวัง (Less Likely) แรงกดดันจากนานาชาติอาจพยายามบังคับให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาหยุดยิง แต่ด้วยความไม่ไว้วางใจที่สูงถึงขีดสุด โอกาสสำเร็จจึงมีน้อยมาก
บทสรุป (Conclusion)
การล่มสลายของข้อตกลง หยุดยิงสั่นคลอน ในวันนี้ (22 ตุลาคม 2025) ไม่ใช่แค่การละเมิดข้อตกลงทางทหาร แต่เป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวทางการทูตที่ลึกซึ้ง อิสราเอลถล่มกาซารอบใหม่ โดยอ้างเหตุ ทหารถูกโจมตี ได้ปิดประตูแห่งความหวังเพียงบานเดียวที่เปิดอยู่สำหรับตัวประกันและพลเรือนในกาซา
ขณะนี้ สถานการณ์ได้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นของสงคราม โดยที่ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่า การเจรจาไม่สามารถนำมาซึ่งสันติภาพได้ และมีเพียงการตัดสินในสนามรบเท่านั้นที่จะยุติความขัดแย้งนี้ได้ ซึ่งเป็นบทสรุปที่น่าเศร้าสำหรับผู้คนนับล้านที่ติดอยู่ท่ามกลางสมรภูมิแห่งนี้ (ความยาวบทความ ประมาณ 2,300 คำ)
แหล่งที่มาจาก : am2con