จีนจับ สวี ฟาฉี ปักกิ่ง, จีน | 21 ตุลาคม 2025 – ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติของจีนได้บรรลุหมุดหมายสำคัญในวันนี้ เมื่อกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ (MPS) แถลงการณ์ยืนยันการจับกุม “สวี ฟาฉี” (Sui Faqi) แกนนำคนสำคัญในเขตปกครองตนเองโกกั้ง (Kokang Self-Administered Zone) ของเมียนมา ในข้อหาบงการเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการพนันออนไลน์ขนาดมหึมา ที่หลอกลวงพลเมืองจีนสร้างความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท (ประมาณ 135 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
การจับกุม “สวี ฟาฉี” ไม่ใช่แค่การทลายเครือข่ายอาชญากรรมทั่วไป แต่เป็น “ฉากสุดท้าย” ของปฏิบัติการทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนยาวนานเกือบสองปีของจีน ที่ใช้ปฏิบัติการทางทหาร “สงครามตัวแทน” (Proxy War) เพื่อโค่นล้มระบอบขุนศึกในโกกั้งที่ให้ที่พักพิงแก๊งอาชญากรรมเหล่านี้ การส่งตัว “สวี ฟาฉี” มายังจีน ตอกย้ำถึงอิทธิพลเบ็ดเสร็จที่จีนมีเหนือดินแดนชายแดนแห่งนี้ และเป็นการส่งสารเตือนที่ชัดเจนไปยังเครือข่ายอาชญากรรมอื่นๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัย “ขุนศึกคอลเซ็นเตอร์” ที่ดำเนินมานานหลายปีในรัฐฉานตอนเหนือของเมียนมา “สวี ฟาฉี” ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งใน “ผู้เล่นหลัก” ที่ทรงอิทธิพลในเมืองเล่าก์ก่าย (Laukkai) เมืองหลวงของโกกั้ง ถูกระบุว่าเป็นหัวหน้าเครือข่ายที่เชื่อมโยงกับ “กลุ่ม 4 ตระกูลใหญ่” (Four Families) ที่เคยปกครองพื้นที่นี้ภายใต้การคุ้มครองของรัฐบาลทหารเมียนมาในฐานะกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (Border Guard Forces – BGF)
ตามแถลงการณ์ของ MPS เครือข่ายของ สวี ฟาฉี เชี่ยวชาญในการหลอกลวงแบบ “ฆ่าหมู” (Pig Butchering) และการพนันออนไลน์ที่มุ่งเป้าไปที่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่โดยเฉพาะ การปฏิบัติการของเขามีความซับซ้อนสูง โดยมี “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่ตั้งขึ้นบังหน้า เป็นฐานปฏิบัติการขนาดใหญ่ที่กักขังและบังคับใช้แรงงานเหยื่อหลายพันคนจากทั่วเอเชีย รวมถึงชาวไทย
การจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ “ปฏิบัติการ 1027” (Operation 1027) ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคม 2023 ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองในโกกั้งไปอย่างสิ้นเชิง และ “สวี ฟาฉี” ถือเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่จีนต้องการ
จีนจับ สวี ฟาฉี “สวี ฟาฉี” คือใคร? ฟันเฟืองสุดท้ายของอาณาจักรอาชญากรรมโกกั้ง
ขณะที่ขุนศึกตระกูลดังอย่าง ไป๋ สั่วเฉิง (Bai Suocheng) หรือ หลิว เจิ้งเสียง (Liu Zhengxiang) ถูกจับกุมและส่งตัวให้จีนไปแล้วในช่วงต้นปี 2024 (พ.ศ. 2567) ชื่อของ “สวี ฟาฉี” กลับค่อนข้างเงียบหายไปจากหน้าสื่อ
แหล่งข่าวกรองในภูมิภาคระบุว่า สวี ฟาฉี ไม่ได้เป็นผู้นำตระกูลหลัก แต่ทำหน้าที่เป็น “ผู้ประสานงาน” (Fixer) คนสำคัญ และเป็น “มันสมอง” ด้านการเงินและการฟอกเงินให้กับกลุ่มพันธมิตรขุนศึกโกกั้ง เขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับนายทหารระดับสูงในกองทัพเมียนมา (Tatmadaw) และเป็นผู้บุกเบิกการนำเทคโนโลยีการหลอกลวงสมัยใหม่เข้ามาในพื้นที่
- ความเชี่ยวชาญ บริหารจัดการ “คอมปาวด์” (Compound) หรืออาคารปฏิบัติการขนาดใหญ่ ที่เป็นทั้งคอลเซ็นเตอร์, บ่อนพนันออนไลน์ และสถานที่กักขังเหยื่อค้ามนุษย์
- เครือข่าย เชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มอาชญากรรมในจีนไต้หวัน ฮ่องกง และมาเลเซีย เพื่อจัดหาบุคลากรและเทคโนโลยี
- มูลค่าความเสียหาย ตัวเลข 5,000 ล้านบาทที่ทางการจีนระบุ คาดว่าเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งจากเครือข่ายของเขาเพียงเครือข่ายเดียว โดยอุตสาหกรรมต้มตุ๋นในเมียนมาทั้งหมดถูกประเมินว่ามีมูลค่าหลาย “หมื่นล้านดอลลาร์” ต่อปี
การที่ สวี ฟาฉี สามารถหลบหนีการกวาดล้างระลอกแรกในช่วงต้นปี 2024 ได้ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลและเครือข่ายที่หยั่งรากลึก แต่การจับกุมเขาในวันนี้ (21 ตุลาคม 2025) เป็นสัญญาณว่า “ยุคสมัยแห่งการยกเว้น” ได้สิ้นสุดลงแล้วอย่างแท้จริง
ภูมิรัฐศาสตร์เบื้องหลังการจับกุม ปฏิบัติการ 1027 และ “สงครามตัวแทน” ของจีน
การทำความเข้าใจว่าทำไม จีนจับ สวี ฟาฉี ได้ในวันนี้ ต้องย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนเมียนมาเมื่อสองปีก่อน “ปฏิบัติการ 1027”
- “เนื้องอก” ที่คุกคามปักกิ่ง เป็นเวลาหลายปีที่รัฐบาลจีนอดทนต่อ “รัฐกันชน” ที่วุ่นวายตามแนวชายแดน แต่หลังยุคโควิด-19 เขตโกกั้งได้กลายพันธุ์จากแหล่งค้ายาเสพติดและกาสิโน มาเป็น “ซิลิคอนวัลเลย์แห่งการต้มตุ๋น” (Scam Silicon Valley) การหลอกลวงนี้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล และที่สำคัญกว่านั้นคือ ก่อให้เกิด “ความไม่พอใจทางสังคม” ภายในจีนแผ่นดินใหญ่ ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงความสามารถของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ในการปกป้องพวกเขา อาชญากรรมไซเบอร์จึงกลายเป็น “ปัญห ความมั่นคงแห่งชาติ” สำหรับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง
- เมื่อการทูตล้มเหลว จีนได้ส่งคำเตือนและกดดันรัฐบาลทหารเมียนมาในกรุงเนปยีดอ (Naypyidaw) หลายครั้งให้จัดการกับกลุ่มขุนศึก BGF (กองกำลังพิทักษ์ชายแดน) ในโกกั้ง แต่รัฐบาลทหารซึ่งอ่อนแอหลังการรัฐประหารปี 2021 ไม่มีความสามารถ (หรืออาจไม่มีความเต็มใจ) ที่จะแตะต้องพันธมิตรที่ทรงอิทธิพลและทำเงินมหาศาลเหล่านี้
- “ไฟเขียว” ให้กับปฏิบัติการ 1027 เมื่อการทูตล้มเหลว จีนจึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ในวันที่ 27 ตุลาคม 2023 “พันธมิตรสามภราดรภาพ” (Three Brotherhood Alliance) ซึ่งนำโดยกองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เชื้อสายจีนที่เคยปกครองโกกั้งในอดีต ได้เปิดฉาก “ปฏิบัติการ 1027” โดยประกาศเป้าหมายหลักคือ “การกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์และฟื้นฟูบ้านเกิด” ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ “สอดคล้อง” กับผลประโยชน์ของจีนอย่างสมบูรณ์แบบ
นักวิเคราะห์ระหว่างประเทศส่วนใหญ่ (เช่น จาก International Crisis Group – ICG และ United States Institute of Peace – USIP) เห็นพ้องต้องกันว่า ปฏิบัติการ 1027 ไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่ได้รับการ “พยักหน้า” หรือการสนับสนุนทางอ้อมจากปักกิ่ง จีนได้ใช้ MNDAA เป็น “สงครามตัวแทน” (Proxy War) เพื่อบรรลุเป้าหมายที่รัฐบาลเมียนมาทำไม่สำเร็จ
- ผลลัพธ์ ปฏิบัติการ 1027 ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว กองกำลัง BGF ของกลุ่ม 4 ตระกูลใหญ่ในโกกั้งล่มสลายภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ เมืองเล่าก์ก่ายถูกยึด รัฐบาลทหารเมียนมาสูญเสียการควบคุมชายแดนจีน-เมียนมาเกือบทั้งหมด และถูกบังคับให้ต้องร่วมมือกับจีนในการจับกุมและส่งตัวขุนศึกตระกูลไป๋และพรรคพวกหลายพันคนไปยังจีนในช่วงต้นปี 2024
การจับกุม สวี ฟาฉี ในวันนี้ คือการ “เก็บกวาด” ครั้งสุดท้าย เพื่อยืนยันว่าระบอบเก่าได้ตายไปแล้ว และระบอบใหม่ที่นำโดย MNDAA ซึ่งอยู่ใต้อาณัติของจีนโดยสมบูรณ์ ได้เข้าควบคุมพื้นที่แล้ว
ดุลอำนาจใหม่ อธิปไตยเมียนมาที่ถูกลดทอน
การล่มสลายของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โกกั้ง และการจับกุม สวี ฟาฉี ได้เปลี่ยนดุลอำนาจในเมียนมาอย่างถาวร และส่งผลกระทบในวงกว้าง
สำหรับรัฐบาลทหารเมียนมา (SAC) นี่คือความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายที่สุดครั้งหนึ่ง พวกเขาไม่เพียงสูญเสียดินแดนยุทธศาสตร์และรายได้มหาศาลจากพันธมิตร BGF แต่ยังแสดงให้โลกเห็นว่า กองทัพเมียนมาไม่สามารถปกป้องอธิปไตยของตนเองจากแรงกดดันของจีน หรือแม้แต่จากกลุ่มชาติพันธุ์ภายในประเทศได้ รัฐบาลทหารถูกลดบทบาทลงเหลือเพียง “ผู้สังเกตการณ์” ในดินแดนของตนเอง
สำหรับจีน จีนบรรลุเป้าหมายด้านความมั่นคงภายในโดยไม่ต้องส่งกองทัพข้ามพรมแดน ได้กำจัด “เนื้องอก” ที่คุกคามพลเมืองของตน และได้ติดตั้ง “ระบอบตัวแทน” (Proxy Regime) ที่ภักดี (MNDAA) ขึ้นมาควบคุมพื้นที่ชายแดนแทน อิทธิพลของจีนในรัฐฉานตอนเหนือในขณะนี้ถือว่า “เบ็ดเสร็จ” (Absolute)
“ปักกิ่งได้แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขายินดีที่จะจัดลำดับความสำคัญของความมั่นคงภายในประเทศให้สูงกว่าหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน” นักวิเคราะห์อาวุโสด้านเมียนมาจาก ICG ให้ความเห็นกับรอยเตอร์ “จีนได้สร้าง ‘เขตกันชน’ ที่ปลอดภัยซึ่งบริหารจัดการโดยตัวแทนของตนเอง โดยไม่สนใจว่ารัฐบาลกลางในเนปยีดอจะคิดอย่างไร”
ผลกระทบ “โดมิโน” ต่อไทยและอาเซียน เมื่ออาชญากรย้ายฐาน
แม้ว่าการจับกุม สวี ฟาฉี จะเป็นข่าวดี แต่ในภาพรวมของภูมิภาค มันคือการ “บีบลูกโป่ง” ไม่ใช่การ “ทำให้ลูกโป่งแตก”
การกวาดล้างอย่างหนักในโกกั้งและพื้นที่รัฐว้า (Wa State) ที่จีนมีอิทธิพลสูงในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ได้ผลักดันให้เครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์เหล่านี้ “ย้ายฐาน” (Displacement) อย่างขนานใหญ่
- จุดหมายปลายทางใหม่ เครือข่ายจำนวนมากได้ย้ายลึกเข้ามาในเมียนมา ไปยังพื้นที่ที่จีนมีอิทธิพลน้อยกว่า เช่น ชเว ก๊กโก (Shwe Kokko) และ เมียวดี (Myawaddy) ซึ่งอยู่ติดชายแดนประเทศไทย (อ.แม่สอด จ.ตาก) รวมถึงย้ายไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว และ กัมพูชา
- ความท้าทายของไทย พื้นที่เมียวดีกลายเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมไซเบอร์แห่งใหม่ที่คุกคามประเทศไทยโดยตรง นำไปสู่ปัญหาการค้ามนุษย์ (คนไทยถูกหลอกไปทำงาน) และการหลอกลวงคนไทยที่เพิ่มสูงขึ้น
- ปฏิบัติการร่วมระดับภูมิภาค จีนตระหนักถึงปัญหานี้ และได้ขยายปฏิบัติการกดดันไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงไทย รัฐบาลไทยและจีนได้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อทลายเครือข่ายเหล่านี้ในเมียวดี และส่งตัวผู้ต้องหาชาวจีนกลับประเทศ (เช่น ปฏิบัติการส่งตัวข้ามแดนที่เกิดขึ้นจริงหลายครั้ง)
การจับกุม สวี ฟาฉี จึงเป็นเหมือนการส่งสารจากปักกิ่งไปยังขุนศึกและผู้มีอิทธิพลคนอื่นๆ ที่ให้ที่พักพิงแก๊งอาชญากรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่เมียวดี หรือสามเหลี่ยมทองคำ ว่า “ไม่มีที่ไหนปลอดภัย” และจีนพร้อมที่จะไล่ล่าพวกเขา “ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด”
บทสรุป จีนจับ สวี ฟาฉี อนาคตของโกกั้ง และสงครามไซเบอร์ที่ยังไม่จบ
การที่ จีนจับ สวี ฟาฉี ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการปิดฉากยุคสมัยของ “ขุนศึกคอลเซ็นเตอร์” ในโกกั้งอย่างเป็นทางการ มันแสดงให้เห็นถึงอำนาจและเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ของจีนในการรักษาเสถียรภาพภายในประเทศ แม้จะต้องแลกมาด้วยการแทรกแซงภูมิรัฐศาสตร์ของเพื่อนบ้านอย่างเปิดเผยก็ตาม
สำหรับ เขตปกครองตนเองโกกั้ง ภายใต้การนำของ MNDAA อนาคตยังคงไม่แน่นอน พวกเขาได้พื้นที่คืน แต่ก็ต้องแลกมากับการอยู่ใต้อิทธิพลของจีนอย่างสมบูรณ์ และต้องพิสูจน์ว่าจะสามารถสร้างเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมายขึ้นมาทดแทน “เศรษฐกิจสีเทา” ที่เคยหล่อเลี้ยงภูมิภาคนี้ได้อย่างไร
ในขณะเดียวกัน สงครามต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังห่างไกลจากคำว่าสิ้นสุด การต่อสู้เพียงแค่เปลี่ยนสมรภูมิจากโกกั้ง มายังเมียวดีและพื้นที่อื่นๆ ซึ่งต้องการความร่วมมือระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยมีจีนเป็นหัวหอกหลักในการไล่ล่าต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con