ไฟไหม้โรงงานสิ่งทอบังกลาเทศ เปลวไฟที่โหมกระหน่ำและเสียงระเบิดของถังแก๊สเคมีที่โรงงานสิ่งทอแห่งหนึ่งในเมืองกาซิปูร์ ประเทศบังกลาเทศ ซึ่งคร่าชีวิตคนงานไปอย่างน้อย 16 รายและบาดเจ็บอีกหลายสิบคน ไม่ใช่เป็นเพียงอุบัติเหตุที่น่าสลดใจ แต่คือสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุดที่ดังสะท้อนไปทั่วทั้งอุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลก โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้ฉายภาพซ้ำของปัญหาด้านความปลอดภัยในโรงงานที่หยั่งรากลึก และกระตุ้นให้เกิดคำถามสำคัญอีกครั้งถึงต้นทุนที่แท้จริงของเสื้อผ้าราคาถูก (Fast Fashion) ที่ผู้บริโภคทั่วโลกสวมใส่ ซึ่งอาจต้องแลกมาด้วยชีวิตและสวัสดิภาพของแรงงานที่ปลายทางของห่วงโซ่อุปทาน
ไฟไหม้โรงงานสิ่งทอบังกลาเทศ เจาะลึกเหตุการณ์ วินาทีแห่งหายนะและเสียงร่ำไห้ที่กาซิปูร์
เช้าตรู่ของวันที่ 16 ตุลาคม 2025 ซึ่งควรจะเป็นวันทำงานปกติของแรงงานหลายร้อยชีวิตในโรงงาน “Hashem Textiles Ltd.” ที่ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมหนาแน่นของเมืองกาซิปูร์ กลับกลายเป็นฉากแห่งหายนะ รายงานจากสำนักข่าว Associated Press (AP) และคำให้การของพยานผู้รอดชีวิตระบุว่า ต้นเพลิงเริ่มปะทุขึ้นจากบริเวณชั้นล่างของอาคาร 5 ชั้น ซึ่งเป็นที่เก็บสารเคมีและสีย้อมผ้า ก่อนจะลุกลามอย่างรวดเร็วผ่านกองผ้าฝ้ายและเส้นใยสังเคราะห์ที่วางอยู่เต็มพื้นที่
ลำดับเหตุการณ์ (5W1H)
- Who (ใคร) คนงานในโรงงาน Hashem Textiles Ltd. ในเมืองกาซิปูร์ ประเทศบังกลาเทศ
- What (ทำอะไร) เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงและมีการระเบิดของถังบรรจุแก๊สเคมีเป็นระยะ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 50 ราย
- When (เมื่อไหร่) เหตุเกิดในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม 2025
- Where (ที่ไหน) โรงงานสิ่งทอ Hashem Textiles Ltd. เมืองกาซิปูร์ ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงธากาไปทางเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร
- Why (ทำไม) การสืบสวนเบื้องต้นโดยหน่วยงานดับเพลิงและตรวจสอบความปลอดภัยของบังกลาเทศชี้ว่า สาเหตุอาจเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรใกล้กับพื้นที่จัดเก็บสารเคมีไวไฟ ประกอบกับอาคารขาดระบบป้องกันอัคคีภัยที่ได้มาตรฐาน
- How (อย่างไร) ไฟได้ลุกลามอย่างรวดเร็วจนคนงานจำนวนมากติดอยู่ภายในอาคาร ทางหนีไฟบางส่วนถูกปิดล็อกหรือมีสิ่งของกีดขวาง ทำให้การอพยพเป็นไปอย่างยากลำบาก เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 20 หน่วยต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงจึงจะสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้
“เสียงระเบิดดังสนั่นเหมือนระเบิด และไฟก็ลามขึ้นมาเร็วมาก” นาย ราฮิม มีอา (Rahim Mia) คนงานที่รอดชีวิตให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ “พวกเราวิ่งหนีตายกันอย่างโกลาหล แต่ประตูทางออกฉุกเฉินที่ชั้นสามถูกล็อกจากด้านนอก ผมต้องทุบหน้าต่างแล้วกระโดดลงมา”
คำให้การของเขาสอดคล้องกับรายงานของ Al Jazeera ที่ระบุว่า การปิดล็อกทางออกฉุกเฉินยังคงเป็นปัญหาที่พบบ่อยในโรงงานหลายแห่งของบังกลาเทศ แม้จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เช่นเหตุการณ์ตึกรานาพลาซาถล่มเมื่อปี 2013 มาแล้วก็ตาม
แผลเก่าที่ยังไม่หาย บังกลาเทศกับปัญหาความปลอดภัยในอุตสาหกรรมสิ่งทอ
บังกลาเทศคือผู้ส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปรายใหญ่อันดับสองของโลก รองจากจีน อุตสาหกรรมนี้สร้างรายได้เข้าประเทศมากกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และมีการจ้างงานกว่า 4 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง โศกนาฏกรรมครั้งนี้จึงไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นหนึ่งในบทพิสูจน์ของปัญหาระดับชาติที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ข้อมูลเชิงลึกและบริบท
- เหตุการณ์รานาพลาซา (2013) โศกนาฏกรรมที่อาคารโรงงาน 8 ชั้นถล่มลงมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,134 ราย เหตุการณ์นั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลกและนำไปสู่การจัดตั้ง “ข้อตกลงบังกลาเทศว่าด้วยความปลอดภัยจากอัคคีภัยและอาคาร” (The Bangladesh Accord on Fire and Building Safety) ซึ่งเป็นข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างแบรนด์แฟชั่นระดับโลกและสหภาพแรงงาน เพื่อปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัย
- ความคืบหน้าและความท้าทาย รายงานจากองค์กร Clean Clothes Campaign ระบุว่า แม้ข้อตกลง The Accord จะช่วยยกระดับความปลอดภัยในโรงงานที่เข้าร่วมโครงการได้จริง แต่ยังมีโรงงานอีกหลายพันแห่งที่อยู่นอกข้อตกลงและยังคงดำเนินงานต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะโรงงานที่รับงานผลิตต่อจากโรงงานหลัก (Subcontracting) ซึ่งมักจะถูกตรวจสอบน้อยที่สุด
- แรงกดดันด้านราคา นักวิเคราะห์จาก The Economist ชี้ว่า รากเหง้าของปัญหามาจากการที่แบรนด์ Fast Fashion กดดันด้านราคาและระยะเวลาการผลิตอย่างหนัก ทำให้เจ้าของโรงงานในบังกลาเทศต้องลดต้นทุนทุกวิถีทาง ซึ่งมักจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนในด้านความปลอดภัยของอาคารและสวัสดิภาพของคนงาน
“ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เรามักจะได้ยินคำสัญญาว่าจะมีการปฏิรูป แต่สุดท้ายแล้วแรงกดดันจากผู้ซื้อในต่างประเทศที่ต้องการสินค้าที่ถูกลงและเร็วขึ้น ก็ทำให้คำสัญญาเหล่านั้นเลือนหายไป” คาลโปนา อักเตอร์ (Kalpona Akter) ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อความเป็นปึกแผ่นของแรงงานบังกลาเทศ (BCWS) กล่าวกับ BBC News
ห่วงโซ่อุปทานโลกภายใต้แรงกดดัน แบรนด์แฟชั่นจะตอบสนองอย่างไร?
หลังเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้ กลุ่มพิทักษ์สิทธิแรงงานทั่วโลกได้ออกมาเรียกร้องให้แบรนด์แฟชั่นรายใหญ่ที่จัดหาเสื้อผ้าจากบังกลาเทศ แสดงความรับผิดชอบและตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของตนเองอย่างเร่งด่วน
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและแบรนด์
- การตรวจสอบที่เข้มข้นขึ้น คาดว่าแบรนด์ใหญ่ๆ จะต้องเผชิญกับการตรวจสอบจากผู้บริโภคและนักลงทุนที่ใส่ใจในประเด็น ESG (Environmental, Social, and Governance) มากขึ้น พวกเขาจะถูกตั้งคำถามว่าโรงงาน Hashem Textiles Ltd. ผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ใดบ้าง
- ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง แบรนด์ใดก็ตามที่ถูกตรวจพบว่ามีความเชื่อมโยงกับโรงงานที่เกิดเหตุ จะได้รับผลกระทบด้านชื่อเสียงอย่างรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การคว่ำบาตรจากผู้บริโภค
- การทบทวนข้อตกลง The Accord มีแนวโน้มว่าสหภาพแรงงานและองค์กรสิทธิมนุษยชนจะผลักดันให้มีการขยายขอบเขตของข้อตกลง The Accord ให้ครอบคลุมโรงงาน subcontract มากขึ้น และเพิ่มบทลงโทษสำหรับแบรนด์ที่ไม่ปฏิบัติตาม
สมาคมผู้ผลิตและส่งออกเสื้อผ้าแห่งบังกลาเทศ (BGMEA) ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกับรัฐบาลในการสืบสวนและให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังคงกังขาต่อความจริงใจในการแก้ปัญหาระยะยาว
บทสรุปและอนาคต เปลวไฟที่กาซิปูร์จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ?
ไฟไหม้โรงงานสิ่งทอบังกลาเทศ โศกนาฏกรรมไฟไหม้โรงงานสิ่งทอที่กาซิปูร์เป็นเครื่องย้ำเตือนอันเจ็บปวดว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของบังกลาเทศที่ขับเคลื่อนโดยอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ยังคงตั้งอยู่บนรากฐานของความปลอดภัยที่เปราะบางและสิทธิแรงงานที่ถูกละเลย การสืบสวนที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่ารัฐบาลบังกลาเทศและเจ้าของโรงงานจะดำเนินการอย่างจริงจังหรือไม่
แนวโน้มในอนาคต
- การสอบสวนและดำเนินคดี รัฐบาลบังกลาเทศได้จัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์นี้แล้ว คาดว่าจะมีการดำเนินคดีกับเจ้าของโรงงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง หากพบว่ามีความประมาทเลินเล่อ
- แรงกดดันจากผู้บริโภค พลังของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการกดดันให้แบรนด์แฟชั่นโปร่งใสและรับผิดชอบต่อห่วงโซ่อุปทานของตนเองมากขึ้น แคมเปญรณรงค์ในโซเชียลมีเดียอาจทวีความรุนแรงขึ้น
- การปฏิรูปกฎหมาย มีความเป็นไปได้ที่จะมีการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายแรงงานและความปลอดภัยในโรงงานของบังกลาเทศให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยอาจใช้โมเดลจากข้อตกลง The Accord เป็นต้นแบบ
ท้ายที่สุดแล้ว เปลวเพลิงที่มอดดับลงที่กาซิปูร์ได้ทิ้งคำถามสำคัญไว้ให้กับโลกใบนี้ว่า เราจะยอมให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อแลกกับเสื้อผ้าราคาถูกได้อีกนานแค่ไหน การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่แบรนด์แฟชั่นระดับโลก รัฐบาล ไปจนถึงผู้บริโภค ตระหนักถึงต้นทุนทางมนุษยธรรมและร่วมกันสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ปลอดภัยและเป็นธรรมอย่างแท้จริง
แหล่งที่มาจาก : am2con