การส่งคืน 4 ร่างไร้วิญญาณ จุดเดือดใหม่วิกฤตตัวประกัน จุดวัดใจมนุษยธรรม และเดิมพันสุดท้ายบนโต๊ะเจรจาอิสราเอล-ฮามาส

ฮามาสส่งคืนศพตัวประกัน

ฮามาสส่งคืนศพตัวประกัน ในความเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและสัญลักษณ์ทางการทูต กลุ่มฮามาสได้ส่งมอบร่างของตัวประกัน 4 รายคืนให้กับทางการอิสราเอล แต่แทนที่จะเป็นก้าวแรกสู่การคลี่คลายวิกฤต การกระทำดังกล่าวกลับจุดชนวนคำขู่ตอบโต้ทางทหารอย่างเต็มรูปแบบจากอิสราเอลทันที หากตัวประกันที่เหลือทั้งหมด ทั้งที่ยังมีชีวิตและเสียชีวิตแล้ว ไม่ถูกส่งกลับมา เหตุการณ์นี้ได้แปรสภาพจากประเด็นด้านมนุษยธรรมไปสู่จุดวัดใจทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งสำคัญ ผลักดันให้การเจรจาหยุดยิงที่เปราะบางซึ่งมีประชาคมโลกเป็นพยาน ไปสู่ปากเหวของความล้มเหลว และอาจนำมาซึ่งการเผชิญหน้าระลอกใหม่ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเกินกว่าฉนวนกาซา

Hamas returns bodies of four hostages and Israel releases hundreds of  Palestinians : NPR

ฮามาสส่งคืนศพตัวประกัน เบื้องหลังการส่งมอบที่ซับซ้อน มากกว่าร่าง แต่คือสารทางการเมือง

การส่งมอบร่างผู้เสียชีวิต 4 ราย ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การอำนวยความสะดวกของตัวกลางอย่างอียิปต์และกาตาร์ ไม่ใช่ปฏิบัติการทางมนุษยธรรมที่ตรงไปตรงมา แต่เป็นหมากตัวสำคัญบนกระดานเจรจาที่ซับซ้อน แหล่งข่าวทางการทูตระดับสูงที่ไม่เปิดเผยนามให้ข้อมูลกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การส่งมอบครั้งนี้เป็น “การทดสอบความจริงใจ” ที่กลุ่มฮามาสต้องการส่งสารไปยังอิสราเอลและโลกตะวันตกว่า พวกเขายังคงเป็นผู้คุมเกมในวิกฤตตัวประกัน และพร้อมที่จะเจรจาภายใต้เงื่อนไขของตนเองเท่านั้น

รายละเอียดของเหตุการณ์ (5W1H)

  • Who (ใคร) กลุ่มฮามาส (ฝ่ายส่งมอบ) และกองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอล (IDF) (ฝ่ายรับมอบ) โดยมีคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองอียิปต์เป็นผู้ประสานงาน
  • What (ทำอะไร) ส่งมอบร่างของตัวประกัน 4 รายที่เสียชีวิตระหว่างการถูกควบคุมตัวในกาซา
  • When (เมื่อไหร่) เกิดขึ้นในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเจรจาลับหลังม่านดำเนินไปอย่างเข้มข้นที่สุด
  • Where (ที่ไหน) กระบวนการส่งมอบเกิดขึ้นในพื้นที่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา ใกล้กับจุดผ่านแดนราฟาห์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด
  • Why (ทำไม) ในมุมมองของฮามาส นี่คือการแสดงท่าทีเชิงสัญลักษณ์เพื่อกดดันให้อิสราเอลยอมรับข้อเรียกร้องที่ครอบคลุมกว่าเดิม เช่น การปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์จำนวนมาก และการรับประกันการหยุดยิงถาวร
  • How (อย่างไร) การปฏิบัติการเป็นไปอย่างลับๆ จนกระทั่งได้รับการยืนยันจากทั้งสองฝ่ายในเวลาต่อมา เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซงและการรายงานข่าวที่อาจกระทบต่อกระบวนการที่เปราะบาง

อย่างไรก็ตาม ฝั่งอิสราเอลตีความการกระทำนี้แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง โฆษกของ IDF แถลงการณ์อย่างชัดเจนว่า “การส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตทีละน้อยเป็นกลยุทธ์ที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม เป็นการทรมานทางจิตใจต่อครอบครัวที่รอคอย เราจะไม่ยอมรับเกมการเมืองที่เล่นบนความเจ็บปวดของพลเมืองของเรา”

“เส้นตายสีแดง” คำขู่จากอิสราเอล และเดิมพันที่สูงขึ้นในสมรภูมิ

ทันทีที่ข่าวการส่งมอบได้รับการยืนยัน นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีด้านความมั่นคงฉุกเฉิน ผลลัพธ์ที่ออกมาคือคำประกาศกร้าวที่ส่งสัญญาณไปทั่วโลกว่า “ความอดทนของอิสราเอลสิ้นสุดลงแล้ว”

คำขู่ดังกล่าวมีสาระสำคัญที่ถูกวิเคราะห์โดยสถาบันวิจัยความมั่นคงแห่งชาติ (INSS) ของอิสราเอล ดังนี้

  • ปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบ อิสราเอลพร้อมที่จะกลับมาดำเนินปฏิบัติการทางทหารในกาซาอีกครั้ง โดยเป้าหมายไม่ใช่แค่การทำลายศักยภาพทางทหารของฮามาส แต่เป็นการ “ถอนรากถอนโคน” โครงสร้างการบัญชาการทั้งหมด
  • ขยายเป้าหมายการโจมตี การโจมตีระลอกใหม่อาจไม่จำกัดอยู่แค่ในกาซา แต่รวมถึงเป้าหมายที่เชื่อมโยงกับฮามาสในภูมิภาค ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้สนับสนุนอย่างอิหร่านและเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน
  • ปฏิเสธการเจรจาแบบค่อยเป็นค่อยไป อิสราเอลประกาศชัดว่าจะไม่ยอมรับการเจรจาที่ปล่อยตัวประกันทีละกลุ่มอีกต่อไป ข้อเสนอเดียวที่ยอมรับได้คือ “ทั้งหมดเพื่อทั้งหมด” (all for all) ซึ่งหมายถึงการปล่อยตัวประกันทั้งหมดแลกกับการหยุดยิงและข้อตกลงอื่นๆ

นักวิเคราะห์จาก Bloomberg ชี้ว่า คำขู่ของอิสราเอลไม่ใช่แค่การขู่ แต่เป็นการเตรียมความพร้อมทางทหารจริง กองกำลังสำรองหลายกองพันถูกเรียกตัวกลับเข้าประจำการ และมีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์หนักไปยังพื้นที่รอบฉนวนกาซาอย่างมีนัยสำคัญ สถานการณ์นี้สร้างแรงกดดันมหาศาล ไม่ใช่แค่ต่อฮามาส แต่ยังรวมถึงประเทศตัวกลางอย่างอียิปต์และกาตาร์ ที่พยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงการนองเลือดครั้งใหม่

Israel receives bodies of four hostages, releases 600 prisoners

เสียงสะท้อนจากนานาชาติ ระหว่างแรงกดดันทางการทูตและวิกฤตมนุษยธรรม

ประชาคมโลกต่างออกมาแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ที่กำลังคุกรุ่นนี้ โดยมีทิศทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

  • สหรัฐอเมริกา ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ฮามาสปล่อยตัวประกันที่เหลือทั้งหมด “โดยไม่มีเงื่อนไข” แต่ในขณะเดียวกัน ก็ได้ส่งสัญญาณผ่านช่องทางการทูตอย่างเงียบๆ ไปยังอิสราเอล ให้ใช้ “ความยับยั้งชั่งใจอย่างสูงสุด” และพิจารณาถึงผลกระทบด้านมนุษยธรรมต่อพลเรือนในกาซาหากมีการเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่
  • สหภาพยุโรป โจเซป บอร์เรลล์ ผู้แทนระดับสูงด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของ EU กล่าวว่า “การส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตเป็นสิ่งที่น่าสลดใจ แต่การตอบโต้ทางทหารอย่างไม่สมส่วนจะยิ่งนำไปสู่หายนะด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงไปอีก” EU ยืนยันจุดยืนสนับสนุนการแก้ปัญหาแบบสองรัฐ (Two-State Solution) ว่าเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน
  • สหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อ “วาทกรรมที่นำไปสู่การเผชิญหน้า” และเตือนว่าระบบสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานในกาซาใกล้จะล่มสลายโดยสมบูรณ์แล้ว การโจมตีระลอกใหม่จะทำให้สถานการณ์ “เกินกว่าจุดที่จะเยียวยาได้”
  • กลุ่มประเทศอาหรับ สันนิบาตอาหรับประณามคำขู่ของอิสราเอลอย่างรุนแรง โดยมองว่าเป็นการปูทางไปสู่การก่ออาชญากรรมสงครามและล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ พร้อมเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงโดยด่วน

มิติที่น่ากังวลที่สุดคือวิกฤตมนุษยธรรมในกาซา ซึ่งองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่ง เช่น Amnesty International และ Human Rights Watch รายงานตรงกันว่า

  • ภาวะขาดแคลนอาหารและน้ำ ประชากรกว่า 2 ล้านคนกำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารในระดับวิกฤต
  • ระบบสาธารณสุขล่มสลาย โรงพยาบาลส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้งานได้ ขาดแคลนยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น
  • ประชากรพลัดถิ่น ชาวกาซามากกว่า 85% ต้องพลัดถิ่นจากบ้านเรือนของตนเอง อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงที่แออัดและขาดสุขอนามัย

การโจมตีครั้งใหม่จะทำให้การส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ยากลำบากอยู่แล้ว กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง

Israel confirms Hamas handed over hostages' bodies as Palestinian prisoners  released

บทสรุปและแนวโน้ม 72 ชั่วโมงข้างหน้า ชี้ชะตาตะวันออกกลาง

ฮามาสส่งคืนศพตัวประกัน สถานการณ์ในขณะนี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง การส่งคืนร่างตัวประกัน 4 ราย ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำลายสมดุลอันเปราะบางของการเจรจา โลกกำลังจับตามองว่ากลุ่มฮามาสจะตอบสนองต่อเส้นตายของอิสราเอลอย่างไร และอิสราเอลจะทำตามคำขู่ของตนเองจริงหรือไม่

แนวโน้มที่เป็นไปได้ในระยะสั้น

  1. การเจรจาแบบหักโหม (Breakthrough Negotiation) แรงกดดันจากทุกฝ่ายอาจบีบให้ฮามาสยอมปล่อยตัวประกันกลุ่มใหญ่ขึ้น เพื่อแลกกับการหยุดยิงระยะยาวและหลักประกันความปลอดภัย ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดแต่มีความเป็นไปได้น้อย
  2. การตอบโต้ทางทหารแบบจำกัดวง (Limited Military Response) อิสราเอลอาจเลือกโจมตีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญสูง เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเอาจริง แต่หลีกเลี่ยงการบุกภาคพื้นดินเต็มรูปแบบ เพื่อรักษาแรงสนับสนุนจากนานาชาติ
  3. การเผชิญหน้าเต็มรูปแบบ (Full-Scale Confrontation) หากการเจรจาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อิสราเอลอาจเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ตามที่ขู่ไว้ ซึ่งจะนำไปสู่การสูญเสียชีวิตอย่างมหาศาล และอาจดึงผู้เล่นในภูมิภาครายอื่นๆ เช่น เฮซบอลเลาะห์ เข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรง

48 ถึง 72 ชั่วโมงข้างหน้าจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งในการชี้ชะตาของวิกฤตครั้งนี้ การตัดสินใจของผู้นำไม่กี่คนในเทลอาวีฟและกาซา จะส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งตะวันออกกลางและเวทีการเมืองโลก การกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นนับจากนี้ จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะในฐานะจุดเริ่มต้นของสันติภาพ หรือบทโหมโรงของสงครามครั้งใหม่ที่ไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง

แหล่งที่มาจาก : am2con