พารามอเตอร์ จากกีฬาทางอากาศสู่อาวุธร้ายของกองทัพพม่า โจมตีจากฟ้าพลเรือนรับเคราะห์

พารามอเตอร์ กองทัพพม่า

พารามอเตอร์ กองทัพพม่า ในความมืดมิดยามค่ำคืนของหมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัฐกะเหรี่ยง เสียงที่เคยเป็นเพียงเสียงเครื่องตัดหญ้าจากระยะไกล บัดนี้ได้กลายเป็นสัญญาณแห่งความตาย เสียงเครื่องยนต์ขนาดเล็กของ พารามอเตอร์ กองทัพพม่า ที่บินต่ำแทรกซึมผ่านแนวป้องกันและการตรวจจับ กำลังนำระเบิดแสวงเครื่องมาหย่อนใส่บ้านเรือนและที่พักพิงของพลเรือน นี่คือภาพจริงของสมรภูมิ ความขัดแย้งในเมียนมา ที่ทวีความโหดร้ายขึ้นทุกขณะ เมื่อกองทัพที่กำลังเพลี่ยงพล้ำภาคพื้นดิน หันมาดัดแปลงอุปกรณ์กีฬาราคาถูกให้กลายเป็นเครื่องมือสังหารที่สร้างความหวาดกลัวระลอกใหม่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรม และเผยให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ “สงครามราคาถูก” ที่น่าสะพรึงกลัว

Paramotors: Myanmar army's lethal new weapon in civil war

พารามอเตอร์ กองทัพพม่า จากฟากฟ้าสู่ฝันร้าย พารามอเตอร์คืออะไรและเหตุใดจึงอันตรายในสนามรบ

พารามอเตอร์ (Paramotor) หรือ ร่มบิน คืออากาศยานขนาดเล็กที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซินสองจังหวะที่นักบินต้องแบกไว้บนหลัง และใช้ร่มร่อน (Paraglider) ในการสร้างแรงยก โดยปกติแล้วมันคืออุปกรณ์สำหรับกิจกรรมสันทนาการและการกีฬา แต่ในมือของกองทัพพม่า มันได้กลายสภาพเป็น อาวุธดัดแปลง ที่อันตรายอย่างยิ่งยวด

คุณลักษณะเฉพาะตัวของมันคือสิ่งที่ทำให้กลายเป็นอาวุธที่น่ากลัว

  • การบินต่ำและช้า (Low and Slow) พารามอเตอร์สามารถบินด้วยความเร็วต่ำและในระดับความสูงที่ไม่มากนัก ทำให้ยากต่อการตรวจจับด้วยระบบเรดาร์ทางทหารแบบดั้งเดิม ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตรวจจับอากาศยานที่บินเร็วและสูงกว่า
  • เสียงที่กลมกลืน (Deceptive Sound Signature) เสียงเครื่องยนต์ของมันคล้ายกับเครื่องจักรการเกษตรขนาดเล็ก เช่น เครื่องปั่นไฟหรือเครื่องตัดหญ้า ทำให้พลเรือนไม่ทันระวังตัว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
  • ต้นทุนต่ำและเข้าถึงง่าย (Low Cost & Accessibility) เมื่อเทียบกับเครื่องบินรบเจ็ตหรือเฮลิคอปเตอร์โจมตีที่มีราคานับสิบล้านดอลลาร์ พารามอเตอร์มีราคาเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ ทำให้กองทัพสามารถจัดหาและใช้งานได้ในปริมาณมากโดยไม่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล
  • ปฏิบัติการได้ในพื้นที่จำกัด (Versatile Operation) มันไม่ต้องการรันเวย์ในการขึ้น-ลง สามารถปฏิบัติการได้จากพื้นที่โล่งเล็กๆ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเคลื่อนย้ายและเข้าโจมตีเป้าหมายในพื้นที่ห่างไกลที่ยานพาหนะภาคพื้นดินเข้าไม่ถึง

การดัดแปลงนั้นเรียบง่ายแต่โหดเหี้ยม นักบินจะติดตั้งกลไกสำหรับปลดระเบิดแสวงเครื่อง (Improvised Explosive Devices – IEDs) ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 5 ถึง 10 กิโลกรัม แล้วบินเข้าหาเป้าหมายซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นหมู่บ้าน ค่ายผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (IDP Camps) โรงเรียน หรือแม้แต่สถานพยาบาล ก่อนจะหย่อนระเบิดลงมาอย่างแม่นยำ

ยุทธศาสตร์ “สงครามราคาถูก” ของกองทัพพม่า (Tatmadaw) ท่ามกลางความพ่ายแพ้ภาคพื้นดิน

การหันมาใช้พารามอเตอร์ของ กองทัพพม่า (Tatmadaw) ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลโดยตรงจากสถานการณ์ในสนามรบที่เปลี่ยนแปลงไป นับตั้งแต่รัฐประหารเมื่อปี 2021 กองทัพต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักจาก กองกำลังป้องกันประชาชน (PDF) และกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ (EAOs) ทั่วประเทศ ทำให้ต้องสูญเสียการควบคุมในหลายพื้นที่และประสบความสูญเสียอย่างหนักทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์

นักวิเคราะห์จาก International Crisis Group (ICG) ชี้ว่า “ทัตมาดอว์กำลังเปลี่ยนผ่านจากกองทัพที่เคยเน้นการควบคุมพื้นที่ มาสู่กองทัพที่เน้นการสร้างความหวาดกลัวและลงโทษประชากรที่ให้การสนับสนุนฝ่ายต่อต้าน” การ โจมตีทางอากาศ พม่า จึงกลายเป็นเครื่องมือหลัก และพารามอเตอร์ก็เข้ามาตอบโจทย์นี้อย่างสมบูรณ์แบบ

Myanmar Military Paramotor Strike Kills, Injures Dozens | Human Rights Watch

ตอบโต้สงครามโดรนของฝ่ายต่อต้าน?

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือความสำเร็จในการใช้ โดรนทิ้งระเบิด ของฝ่ายต่อต้าน ฝ่าย PDF และพันธมิตรได้ใช้โดรนเพื่อการพาณิชย์มาดัดแปลงเพื่อโจมตีที่มั่นทางทหาร ขบวนรถลำเลียง และฐานบัญชาการของกองทัพพม่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเสียหายและทำลายขวัญกำลังใจของทหารอย่างมหาศาล

การนำพารามอเตอร์มาใช้จึงอาจมองได้ว่าเป็นการตอบโต้ในลักษณะ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ด้วยเทคโนโลยีราคาถูกเช่นกัน แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือเป้าหมายในการโจมตี ขณะที่ฝ่ายต่อต้านมุ่งเน้นเป้าหมายทางทหารเป็นหลัก รายงานจากภาคพื้นดินและองค์กรสิทธิมนุษยชนกลับชี้ชัดว่าเป้าหมายของพารามอเตอร์ส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่พลเรือนโดยตรง เพื่อสร้างแรงกดดันและตัดการสนับสนุนที่ประชาชนมีต่อฝ่ายต่อต้าน

เสียงจากพื้นที่ ความหวาดกลัวที่มองไม่เห็นและวิกฤตมนุษยธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“เราไม่ได้นอนหลับอย่างสนิทใจอีกต่อไป” คือคำพูดของ ซอว์ เกลอร์ ตู อาสาสมัครทีมกู้ภัย Free Burma Rangers ใน รัฐกะเหรี่ยง “เมื่อก่อนเราฟังเสียงเครื่องบินเจ็ต แต่ตอนนี้เราต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงที่เบาและใกล้กว่า มันอาจมาถึงตัวเราเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่รู้ตัว”

นี่คือ ผลกระทบการโจมตีทางอากาศต่อพลเรือนพม่า ในมิติใหม่ นั่นคือ “ความหวาดกลัวที่แฝงตัวอยู่ในชีวิตประจำวัน” ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพจิตของประชาชน ทำให้กิจกรรมพื้นฐานอย่างการทำไร่ การไปโรงเรียน หรือแม้แต่การนอนหลับในบ้านของตัวเองกลายเป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย

  • การพลัดถิ่นระลอกใหม่ ประชาชนในหลายพื้นที่ถูกบีบให้อพยพออกจากบ้านเรือนเพื่อหนีการโจมตีที่คาดเดาไม่ได้ ทำให้จำนวนผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (IDPs) ที่มีอยู่เดิมกว่า 3 ล้านคน เพิ่มสูงขึ้นไปอีก
  • อุปสรรคต่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม องค์กรให้ความช่วยเหลือต้องทำงานด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และผู้รับความช่วยเหลือได้อีกต่อไป
  • การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน มีรายงานการโจมตีโรงเรียนและคลินิกชั่วคราวในพื้นที่ห่างไกลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน

Myanmar: 'Deadly attack' on festival highlights paraglider threat to civilians - Amnesty International

นัยยะทางภูมิรัฐศาสตร์และเสียงเรียกร้องจากนานาชาติ

การกระทำของ สภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ซึ่งเป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของรัฐบาลทหารพม่า กำลังท้าทายประชาคมระหว่างประเทศอย่างซึ่งหน้า แม้จะมีมาตรการคว่ำบาตรต่อผู้นำกองทัพและบริษัทในเครือ แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีที่หาซื้อได้ทั่วไปเช่นพารามอเตอร์ได้

ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ของมาตรการคว่ำบาตร ที่มักมุ่งเน้นไปที่อาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ แต่กลับมองข้าม “เทคโนโลยีสองทาง” (Dual-use technology) ที่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งในทางพลเรือนและการทหาร

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประณามการโจมตีพลเรือนทุกรูปแบบ ขณะที่ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมา เรียกร้องให้มีการดำเนินการที่แข็งขันมากขึ้นเพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงและเส้นทางการจัดหาอาวุธของกองทัพพม่า อย่างไรก็ตาม การดำเนินการที่เป็นรูปธรรมยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้มีการประกาศเขตห้ามบิน (No-Fly Zone) ซึ่งเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ

บทสรุป อนาคตของสงครามกลางเมืองพม่า เมื่อท้องฟ้าไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

สถานการณ์ล่าสุดในเมียนมาเป็นอย่างไร? คำตอบคือมันกำลังดำดิ่งสู่รูปแบบของสงครามเบ็ดเสร็จ (Total War) ที่ไม่มีขอบเขตระหว่างแนวหน้ากับแนวหลัง การปรากฏตัวของ พารามอเตอร์ กองทัพพม่า ในฐานะอาวุธชนิดใหม่ คือเครื่องยืนยันว่าท้องฟ้าที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและความอิสระ ได้กลายเป็นพื้นที่แห่งความตายสำหรับประชาชนผู้บริสุทธิ์

นี่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ อาวุธใหม่ของทหารพม่ามีอะไรบ้าง แต่เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ที่จงใจลบเส้นแบ่งระหว่างพลเรือนและทหาร เป็นการส่งสารที่ชัดเจนว่าไม่มีที่ใดปลอดภัยอีกต่อไป ตราบใดที่ประชาคมโลกยังไม่สามารถหาทางยุติการโจมตีทางอากาศของกองทัพพม่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โศกนาฏกรรมจากฟากฟ้าก็จะยังคงดำเนินต่อไป ทิ้งไว้เพียงความสูญเสียและความหวาดกลัวที่กัดกินจิตใจของผู้คนในเงามืดของความขัดแย้งที่โลกลืมแห่งนี้

แหล่งที่มาจาก : am2con