ความไม่สงบในซูดานใต้ ข่าวที่น่าตกใจจากค่ายทหารแห่งหนึ่งในรัฐเอกภาพ (Unity State) ของซูดานใต้ รายงานเหตุการณ์ยิงปะทะกันอย่างดุเดือดภายในกองทัพ ส่งผลให้มีทหารเสียชีวิตอย่างน้อย 14 นาย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก โดยมีชนวนเหตุเบื้องต้นมาจาก “เรื่องรักสามเส้า” แต่สำหรับผู้ที่ติดตามสถานการณ์ของชาติที่เปราะบางที่สุดแห่งหนึ่งของโลกแล้ว โศกนาฏกรรมครั้งนี้เป็นมากกว่าแค่คดีอาชญากรรมที่เกิดจากความหึงหวง มันคือ “อาการบ่งชี้” ที่น่าสะพรึงกลัวของวิกฤตที่หยั่งรากลึก นั่นคือความล้มเหลวในการสร้าง “กองทัพแห่งชาติ” ที่เป็นเอกภาพอย่างแท้จริง เหตุการณ์ ความไม่สงบในซูดานใต้ ครั้งล่าสุดนี้ได้ฉีกหน้ากากให้เห็นว่า ภายใต้เครื่องแบบทหารแห่งชาติยังคงเต็มไปด้วยความแตกแยกทาง ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ และความภักดีต่อกลุ่มของตน ซึ่งเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะทำลายกระบวนการ สันติภาพในซูดานใต้ ที่เปราะบางให้พังทลายลงได้ทุกเมื่อ
ความไม่สงบในซูดานใต้ จากเรื่องส่วนตัวสู่สงครามย่อยในค่ายทหาร
เกิดอะไรขึ้นกับทหารในซูดานใต้? รายงานจากแหล่งข่าวท้องถิ่นและได้รับการยืนยันในเวลาต่อมาจากโฆษก กองทัพซูดานใต้ (SSPDF) ระบุว่า เหตุการณ์เริ่มต้นจากความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างทหารระดับชั้นประทวน 2 นาย เกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านใกล้ค่ายทหาร แต่สิ่งที่ควรจะจบลงด้วยการทะเลาะวิวาทหรือการลงโทษทางวินัย กลับบานปลายอย่างรวดเร็วจนควบคุมไม่ได้
- การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทหารทั้งสองนายมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันและเคยเป็นศัตรูกันในสมัยสงครามกลางเมือง (กลุ่ม ดินกา – Dinka และ นูเออร์ – Nuer)
- การขยายวงของความรุนแรง เมื่อเกิดการโต้เถียงและเริ่มมีการใช้อาวุธ เพื่อนทหารของแต่ละฝ่ายที่อยู่ในค่าย แทนที่จะเข้าระงับเหตุ กลับเลือกที่จะเข้าข้าง “พวกของตนเอง” ตามสายสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์
- การปะทะเต็มรูปแบบ ค่ายทหารได้แปรสภาพเป็นสมรภูมิย่อยในเวลาไม่นาน เกิดการยิงปะทะกันระหว่างกลุ่มทหารสองฝ่ายเป็นเวลาหลายชั่วโมง กว่าที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงจะสามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ได้ ผลลัพธ์คือความสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความจริงที่น่าเจ็บปวดว่า “ความเป็นชาติ” ในซูดานใต้ยังคงเป็นเพียงแนวคิดที่เปราะบางอย่างยิ่ง
“กองทัพแห่งชาติ” ภาพลวงตาที่สร้างจากความไม่ไว้วางใจ
ทำไมกองทัพซูดานใต้ถึงยังคงมีความรุนแรงภายใน? เพื่อหาคำตอบ เราต้องเข้าใจโครงสร้างของกองทัพ SSPDF ที่มีลักษณะเฉพาะและเต็มไปด้วยปัญหา
- การรวมกองทัพที่ยังไม่เสร็จสิ้น กองทัพ SSPDF ในปัจจุบัน ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากศูนย์ แต่เกิดจากการ “รวมร่าง” กันของกองกำลังติดอาวุธหลายกลุ่มที่เคยเป็นศัตรูกันอย่างเอาเป็นเอาตายในสงครามกลางเมือง (ปี 2013-2018) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังที่ภักดีต่อประธานาธิบดี ซัลวา คีร์ (Salva Kiir) (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวดินกา) และกองกำลังที่ภักดีต่อรองประธานาธิบดี รีค มาชาร์ (Riek Machar) (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนูเออร์)
- ความภักดีที่ซ้อนกัน แม้ในทางทฤษฎี ทหารทุกคนจะอยู่ภายใต้ธงชาติซูดานใต้ แต่ในทางปฏิบัติ ความภักดีแรกของพวกเขายังคงอยู่กับผู้บัญชาการเดิมและกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง โครงสร้างการบังคับบัญชายังคงไม่เป็นเอกภาพอย่างแท้จริง
- สภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ ทหารจำนวนมากในค่ายต่างๆ ทั่วประเทศ มักไม่ได้รับเงินเดือนตรงเวลา, ขาดแคลนอาหารและสิ่งของจำเป็น ทำให้เกิดความเครียด, ระเบียบวินัยหย่อนยาน และเพิ่มโอกาสในการเกิดความขัดแย้งได้ง่าย
ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ เชื้อไฟที่พร้อมไหม้ทั้งประเทศ
ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ส่งผลต่อซูดานใต้อย่างไร? มันคือรากเหง้าของปัญหาเกือบทั้งหมดในประเทศ และเป็นสาเหตุของสงครามกลางเมืองที่คร่าชีวิตผู้คนไปเกือบ 400,000 คน
- การเมืองที่แบ่งตามเชื้อชาติ การเมืองระดับชาติของซูดานใต้คือการแบ่งปันอำนาจที่เปราะบางระหว่างกลุ่มดินกาและนูเออร์เป็นหลัก ความไม่ไว้วางใจระหว่างผู้นำทางการเมืองได้ซึมลึกลงไปสู่ทุกระดับของสังคม
- การแข่งขันแย่งชิงทรัพยากร ในระดับท้องถิ่น ความขัดแย้งมักเกิดจากการแย่งชิงทรัพยากรที่ขาดแคลน เช่น ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์, แหล่งน้ำ และที่ดินทำกิน ซึ่งความขัดแย้งเหล่านี้มักจะถูกขยายผลและบานปลายกลายเป็นความรุนแรงระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ได้ง่าย
- กองทัพคือภาพสะท้อนของสังคม เหตุการณ์ยิงกันในค่ายทหารจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความแตกแยกที่มีอยู่แล้วในสังคมภายนอก เพียงแต่เกิดขึ้นในสถานที่ที่ทุกคนมีอาวุธสงครามอยู่ในมือ
กระบวนการสันติภาพบนเส้นด้าย เมื่อผู้พิทักษ์กลายเป็นภัยคุกคาม
อนาคตของกระบวนการสันติภาพในซูดานใต้เป็นอย่างไร? เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นข่าวร้ายอย่างยิ่งต่อกระบวนการสันติภาพที่ได้รับการฟื้นฟูในปี 2018 (Revitalised Agreement on the Resolution of the Conflict in South Sudan – R-ARCSS)
- หัวใจของข้อตกลงที่ล้มเหลว เสาหลักที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพ คือการสร้าง “กองทัพแห่งชาติที่เป็นเอกภาพและมีความเป็นมืออาชีพ” (Unified, Professional National Army) เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นอีก แต่เหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เป้าหมายดังกล่าวยังคงอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริง
- การบ่อนทำลายความไว้วางใจ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะยิ่งเพิ่มความไม่ไว้วางใจระหว่างผู้นำทางการเมือง และอาจทำให้ฝ่ายต่างๆ ลังเลที่จะปลดอาวุธหรือรวมกองกำลังของตนเข้ากับกองทัพแห่งชาติอย่างสมบูรณ์
- ความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุบานปลาย เหตุการณ์ที่เริ่มต้นจากคนเพียงสองคนสามารถลุกลามจนมีผู้เสียชีวิต 14 ราย แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ สามารถจุดชนวนให้เกิดความรุนแรงในวงกว้างได้เสมอ ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อเสถียรภาพของประเทศ
ผู้สังเกตการณ์จากภารกิจของสหประชาชาติในซูดานใต้ (UNMISS) ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์นี้ และเรียกร้องให้ผู้นำทุกฝ่ายเร่งรัดกระบวนการปฏิรูปกองทัพอย่างจริงจัง
บทสรุป ซูดานใต้ยังคงยืนอยู่บนปากเหวแห่งความขัดแย้ง
ความไม่สงบในซูดานใต้ ชนวนเหตุ “รักสามเส้า” เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนปัญหาขนาดมหึมาไว้เบื้องล่าง โศกนาฏกรรมครั้งนี้คือบทสรุปที่เจ็บปวดของ วิกฤตซูดานใต้ ที่ยังไม่จบสิ้น มันคือความล้มเหลวในการสร้างชาติ, ความล้มเหลวในการเยียวยาบาดแผลจากสงคราม และความล้มเหลวในการสร้างสถาบันหลักของรัฐให้เป็นที่พึ่งของประชาชน
กองทัพ ซึ่งควรจะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเอกภาพและเป็นผู้พิทักษ์สันติภาพ กลับกลายเป็นหนึ่งในแหล่งบ่มเพาะความรุนแรงและเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพเสียเอง
เหตุการณ์นี้คือเสียงปลุกครั้งสำคัญที่ส่งไปถึงรัฐบาลในกรุง จูบา และประชาคมระหว่างประเทศ ว่าหากไม่มีการลงทุนและเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ในการปฏิรูปกองทัพ, แก้ปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์จากรากเหง้า และปรับปรุงความเป็นอยู่ของเหล่าทหารให้ดีขึ้นอย่างเร่งด่วนแล้วล่ะก็ สันติภาพในซูดานใต้ ก็จะยังคงเป็นเพียงภาพฝันที่เปราะบาง พร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเมื่อจากกระสุนเพียงนัดเดียวที่ยิงออกมาด้วยเหตุผลส่วนตัว
แหล่งที่มาจาก : am2con